ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 87 :ใช้โอกาสนี้ดัดนิสัยน้องห้า
ตอนที่ 87 :ใช้โอกาสนี้ดัดนิสัยน้องห้า
เมื่อมาถึง พวกเขาก็พบว่าเจียงเสี่ยวโจวไม่ได้อยู่ที่บ้าน
หลี่หงอิง ภรรยาของเจียงเสี่ยวโจวบอกว่าเขาไปที่แม่น้ำตั้งแต่ตอนเที่ยงแล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋จึงได้พาเจียงชานเดินไปที่แม่น้ำ
“ป่าป๊า เร็วเข้า ! ”
“ป่าป๊าคะ มีแกะอยู่ข้างหน้า สวยจังเลย”
“ป่าป๊า เราไปไล่แกะกันเถอะค่ะ”
“……”
หนูน้อยดูสนุกสนานมาก เธอขี่คอพ่อของเธอจินตนาการเหมือนว่าตนเองขี่ม้าจริง ๆ
ต่อมาไม่นาน สองพ่อลูกก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำ เห็นเรือสำปั้นลำหนึ่งจอดอยู่ริมฝั่ง ชายหนุ่มที่เปลือยเปล่าท่อนบนกำลังดึงอวนขึ้นมาบนเรือ
“ลุงรอง ! ”
เจียงชานตะโกนเรียกเสียงดัง
เจียงเสี่ยวโจวหันกลับมาพูดกับเจียงเสี่ยวไป๋ว่า “อ้าว สองพ่อลูกมาทำอะไรที่นี่ ? ”
“ก็มาดูว่าพี่จับปลาได้บ้างไหม ? ” เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยรอยยิ้ม
เจียงเสี่ยวโจวหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “วันนี้ดวงดีหน่อย ได้มาหลายตัวเลย”
เมื่อได้ยินว่ามีปลา เจียงเสี่ยวไป๋จึงรีบถามไปทันทีว่า “งั้นแบ่งขายให้ผมบ้างได้ไหม ? ”
ในแม่น้ำชิงเจียงนั้นมีปลาไม่เยอะ และมีเพียงเรือสำปั้นลำเก่าเพียงลำเดียวเท่านั้นที่กำลังดึงอวนดักปลาในเวลานี้
วันนี้มีเพียงเจียงเสี่ยวโจวเท่านั้นที่มาหาปลา เพราะเขารักการหาปลาและมีทักษะดีที่สุด
“อยากได้ปลาแบบไหนก็ไปเลือกดูเองเลย”
เจียงเสี่ยวโจวชี้ไปที่ถังไม้ขนาดใหญ่ในเรือและพูดออกมา
เจียงเสี่ยวไป๋พยุงเจียงชานขึ้นเรือสำปั้น แต่เรือโคลงเคลง จึงทำให้หนูน้อยตกใจกอดหัวของเจียงเสี่ยวไป๋แน่น
เจียงเสี่ยวไป๋อุ้มเธอขึ้นมา แล้ววางเธอลงบนเรือที่โคลงไปโคลงมา
“มา มาดูกันว่าลุงรองได้ปลาอะไรมาบ้าง”
หนูน้อยเดินโซซัดโซเซไปที่ถังไม้ สองมือเล็ก ๆ จับขอบถังแน่นแล้วชะโงกหัวมองไปในถังก็เห็นปลาหลายสิบตัวดิ้นไปมาด้านใน แล้วพูดอย่างมีความสุขว่า “มีปลาเยอะมากเลยค่ะป่าป๊า”
เจียงเสี่ยวไป๋มองดูก็เห็นว่าปลาในถังมีขนาดไม่ใหญ่นัก ส่วนใหญ่เป็นปลาตะเพียนและปลาลายขาว
เขาต้องการซื้อปลาตะเพียนหญ้า แต่น่าเสียดายที่ไม่มีสักตัว
แต่เมื่อลองคิดดู เนื้อของปลาตะเพียนก็อร่อยไม่แพ้กัน ทั้งยังปรุงง่ายกว่า เขาจึงพูดว่า “พี่เสี่ยวโจว ผมขอซื้อปลาตะเพียนทั้งหมดที่ได้วันนี้เลย ค่ำ ๆ ผมจะไปเอาที่บ้านพี่ก็แล้วกัน ไว้รอพี่กลับไปก่อน”
เจียงเสี่ยวโจวกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ถ้าฉันกลับ ฉันจะแวะเอาไปให้ที่บ้านของนายเลย”
เจียงเสี่ยวไป๋ขอบคุณเจียงเสี่ยวโจว จากนั้นก็ปล่อยให้เจียงชานนั่งเล่นบนเรือสักพัก เขาไม่รีบร้อนที่จะกลับบ้าน และยังคงจูงมือลูกสาวตัวน้อยเดินเล่นไปตามริมฝั่งแม่น้ำ ใช้เวลาไม่นานนัก พวกเขาก็เดินมาถึงริมหน้าผา
“ป่าป๊า ต้นไม้ใหญ่จัง เราไปเล่นตรงนั้นกันเถอะ”
เจียงชานอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นเมื่อเห็นต้นไม้ใหญ่เบื้องหน้า
เจียงเสี่ยวไป๋แตะหัวลูกสาวแล้วพูดว่า “ตรงนั้นหญ้าค่อนข้างรก ไว้ผ่านไปสักระยะแล้วพ่อจะพาไปเที่ยว ตกลงไหม ? ”
“ตกลงค่ะ ! ”
หนูน้อยตอบตกลงโดยไม่ต้องคิด แล้วถามด้วยความงุนงง “แล้วผ่านไปสักระยะจะไม่มีหญ้าใช่ไหมคะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม ความคิดของเด็กนั้นเรียบง่ายจริง ๆ
“ผ่านไปสักระยะ พ่อจะสร้างบ้านหลังใหญ่ข้างต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น และในอนาคตเราจะอาศัยอยู่ที่นั่น ดีไหม ? ”
“ดีค่ะ ! ”
เจียงชานพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า
เจียงเสี่ยวไป๋เองก็มีความสุขมาก ดูเหมือนไม่ว่าเขาจะพูดอะไร ลูกสาวของเขาก็จะตอบว่า “ตกลงค่ะ” ทุกครั้ง
ถึงอย่างนั้น เขาก็สัมผัสได้ว่าลูกสาวของเขาก็ชอบที่นี่เหมือนกัน
หลังจากอยู่ที่นี่ต่ออีกครู่หนึ่ง เจียงเสี่ยวไป๋ก็พาหนูน้อยขี่คอเขาเดินกลับบ้าน
ในเวลานี้ เจียงเสี่ยวเหลยก็ได้กลับมาพอดี เมื่อเขาเห็นเจียงเสี่ยวไป๋เดินเข้ามา เขาก็พูดโอ้อวดว่า “ผมซื้อเนื้อควายมา 3 ชั่ง”
จากนั้น เขาก็เอื้อมมือไปหาเจียงชานและพูดว่า “ชานชาน มาหาอานี่มา ให้พ่อของหนูไปทำอาหารเย็นก่อน”
เจียงเสี่ยวไป๋ได้ยินแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะกลอกตา รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้เหมือนพ่อของเขาไม่มีผิด ที่เอาแต่รอให้เขามาทำอาหารให้กิน
เจียงชานเห็นแบบนั้นก็โน้มตัวลงจากบ่าของพ่อเธอ และพูดว่า “ไม่เป็นไรค่ะ หนูจะทำกับข้าวช่วยป่าป๊า ส่วนอาก็ต้องช่วยก่อไฟ”
ห๊ะ ?
ใบหน้าของเจียงเสี่ยวเหลยดูจะเจ็บปวดขึ้นมาทันที
ถ้าให้เลือก เขาเลือกไถนามากกว่าต้องไปก่อไฟทำกับข้าวในครัว
เพราะทุกครั้งที่เขาก่อไฟ ใบหน้าของเขาก็จะเปื้อนไปด้วยเขม่า หรือไม่ก็โดนควันเข้าตาจนน้ำตาไหลออกมา
แต่เมื่อต้องช่วยพี่รองทำกับข้าว เขาจะกล้าปฏิเสธได้ยังไง
เขาทำได้เพียงแค่ก้มหน้า และเดินไปที่เตาอย่างเชื่อฟัง
เจียงเสี่ยวไป๋แสร้งทำเป็นไม่เห็น
ดังคำกล่าวที่ว่า “เลี้ยงลูกชายด้วยความยากจน เลี้ยงลูกสาวต้องเลี้ยงด้วยความร่ำรวย [1] ” แม้ว่าเจียงเสี่ยวเหลยจะเป็นน้องชาย แต่ในเมื่อเขาได้เกิดใหม่อีกครั้ง เขาจึงมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตัวเองและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของน้องชายคนนี้ได้เหมือนกัน
เพียงแค่ใช้โอกาสนี้
เมื่อเดินเข้าไปในห้องครัวและเห็นว่าน้ำในถังเหลือน้อย เจียงเสี่ยวไป๋ก็หยิบถังไม้ขึ้นมาและส่งให้เจียงเสี่ยวเหลย
“อย่าเพิ่งก่อไฟ ไปตักน้ำมาเติมก่อน”
เจียงเสี่ยวเหลยตกตะลึง “อ่า พี่รอง ให้ผมไปตักน้ำงั้นหรือ ? ”
“อืม ทำไม ไม่ได้หรือไง ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ถามอย่างเฉยเมย ไม่ได้แสดงสีหน้าใดออกมา
“ได้สิ ! ”
“ผมจะไปตักน้ำเดี๋ยวนี้แหละ”
เจียงเสี่ยวเหลยหยิบกระบวยด้ามยาวสองอันออกไปอย่างไม่มีทางเลือก
แม้ว่าเจียงวานจะอยู่ริมแม่น้ำชิงเจียง แต่ผู้คนก็ไม่ได้ใช้น้ำในแม่น้ำในการบริโภค เพราะมีแหล่งน้ำที่ดีกว่านั้น
นั่นก็คือน้ำบาดาลของหมู่บ้าน ที่สะอาดกว่าน้ำในแม่น้ำ
ในเจียงวานมีประชากรมากกว่าร้อยครัวเรือน จึงมีการขุดบ่อน้ำบาดาลไว้ 4-5 บ่อ มีทั้งบ่อใหญ่บ่อเล็ก ซึ่งบ่อน้ำที่ใกล้ที่สุดอยู่ข้างบ้านตระกูลหลี่ ห่างจากบ้านของเจียงเสี่ยวไป๋ออกไปประมาณ 200 เมตร
นี่คือบ่อน้ำที่ใหญ่ที่สุดในเจียงวาน ซึ่งผู้คนที่นี่เรียกว่าบ่อน้ำใหญ่
แม้ว่าบ่อน้ำใหญ่จะอยู่ไม่ไกลนัก แต่หากต้องเติมน้ำให้เต็มถัง ก็ยังต้องเดินแบกน้ำไปมา 4-5 รอบ
ซึ่งน้ำถังหนึ่งมีน้ำหนักเกือบร้อยชั่ง เป็นธรรมดาที่เด็กอายุ 14-15 ปีจะไม่สามารถยกมาได้
แต่เจียงเสี่ยวไป๋นั้นไม่ได้กังวลในตัวเจียงเสี่ยวเหลยเลย
ในตอนที่เขาทำผิด พ่อก็มักจะลงโทษเขาโดยการไปตักน้ำมาเติมให้เต็มถังอยู่บ่อย ๆ
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา เจียงเสี่ยวเหลยเคยตักน้ำมาแล้วหลายร้อยหน
แต่วันนี้ เจียงเสี่ยวเหลยต้องแบกน้ำมาเติมถึงสี่รอบติดต่อกันถึงจะเติมเต็มถัง ทำให้เขาเหนื่อยจนหายใจหอบ
“เสร็จแล้วใช่ไหม มาซาวข้าวเอาไปหุงต่อ”
“ล้างเนื้อควายให้สะอาดแล้วหั่นเป็นชิ้น ๆ ด้วย”
ก่อนที่เจียงเสี่ยวเหลยจะได้พักหายใจ เจียงเสี่ยวไป๋ก็เตรียมใช้งานเขาต่อแล้ว
ขณะที่พูด ในมือของเขายังจับหัวไชเท้าและพริกอยู่ “ฝานหัวไชเท้าและหั่นพริกด้วย ฉันจะเอาไปดอง”
เจียงเสี่ยวเหลยตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
“พี่รอง ไหนบอกว่าแค่ให้ผมก่อไฟไง นี่พี่จะใช้ให้ผมทำทั้งหมดเลยหรือ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่ นายรีบทำตามที่ฉันบอกเร็วเข้า ฉันจะตั้งกระทะแล้ว”
“พี่รอง พี่ใช้งานผมมากเกินไปแล้วนะ”
เจียงเสี่ยวเหลยพูดอย่างไม่พอใจ
ถ้าเขารู้ว่ามันจะเป็นอย่างนี้ เขาก็คงให้แม่ทำอาหารให้กินไปนานแล้ว เพราะถ้าแม่ทำ เขาคงไม่ต้องเหนื่อยแบบนี้
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “เสี่ยวเหลย นายอาจคิดว่าฉันจงใจแกล้ง แต่ถ้านายอยากเป็นชายชาตรี นายต้องเริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ที่นายไม่ชอบหรือไม่อยากทำ”
ใบหน้าที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของเจียงเสี่ยวเหลยเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ เพราะในความคิดของเขา ชายชาตรีนั้นต้องทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่และหาเงินก้อนโตได้ แทนที่จะต้องมาตักน้ำ ซาวข้าว ก่อไฟ และหั่นผักอะไรพวกนี้
ชายชาตรีที่ไหนจะหดหัวอยู่แต่ในครัว
ในหนังสือไม่เห็นจะเขียนบอกไว้เลย
เจียงเสี่ยวไป๋มองไปที่การแสดงออกของน้องห้า เขารู้ว่าคำพูดไม่กี่คำไม่สามารถเปลี่ยนใจของคนได้
ทว่าเขาก็ไม่รีบร้อน
การเปลี่ยนแปลงคนคนหนึ่งต้องใช้เวลา ความอดทนและวิธีการต่าง ๆ
“พี่รู้ว่านายอิจฉาพี่ และอยากเป็นเหมือนพี่ ฉะนั้นนายต้องใช้ชีวิตแบบที่พี่เป็นสิ” เจียงเสี่ยวไป๋พูดขึ้นมา
เจียงเสี่ยวเหลยรู้สึกประหลาดใจและจ้องไปที่พี่รองของเขาอย่างว่างเปล่า
“ฉันเคยคิดว่าชีวิตแบบนั้นมีความสุขและสบายใจที่สุด”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม การแสดงออกของเขาดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความทรงจำของชาติที่แล้ว
วิธีที่ดีที่สุดในการสื่อสารไม่ใช่การถกเถียง แต่คือการเข้าใจและรับฟัง
…….
[1] สุภาษิต “เลี้ยงลูกชายด้วยความยากจนและลูกสาวด้วยความร่ำรวย” หมายความว่าลูกชายควรเรียนรู้คุณค่าของการทำงานหนัก การอดออม และความพอเพียงจากการเลี้ยงดูในสถานการณ์ที่ท้าทายมากขึ้น ในขณะที่ลูกสาวควรได้รับการเลี้ยงดูที่สะดวกสบายและได้รับสิทธิพิเศษเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับบทบาทภรรยาและแม่บ้านในครัวเรือนที่ร่ำรวย