ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 88 :ต้องเริ่มอบรมลูกสาวแล้ว
ตอนที่ 88 :ต้องเริ่มอบรมลูกสาวแล้ว
เจียงเสี่ยวเหลยดูเหมือนจะเริ่มคล้อยตามในสิ่งที่เจียงเสี่ยวไป๋ต้องการจะสื่อออกมาแล้ว “ผมแค่ต้องการมีชีวิตที่เป็นอิสระเท่านั้น”
“ผมอยากเป็นอิสระ ผมอยากบินให้สูงขึ้น”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าและเห็นด้วย “นี่เป็นสิ่งที่ดี ทุกคนล้วนแสวงหาและต้องการมีชีวิตในแบบที่นายพูดถึงทุกคนแหละ”
“แต่โลกนี้ยุติธรรมเสมอ ดังนั้นทุกคนจึงต้องดิ้นรน เพื่อที่จะได้มีชีวิตที่ดีขึ้นตามที่พวกเขาต้องการ”
ทันใดนั้น น้ำเสียงของเขาก็ดูเด็ดขาดขึ้น เขาพูดอย่างจริงจังว่า “นายรู้ไหมว่าทำไมบางคนถึงมีชีวิตที่ดีกว่าคนอื่นได้ ? ”
“เพราะมีหน้าตาดี ? ”
“เพราะมาจากภูมิหลังที่ดี ? ”
“หรือเพราะว่าพวกเขาเก่งที่สุดในโลกกัน ? ”
เขาโบกมือและพูดต่อ “ไม่ใช่เลย ทั้งหมดที่พูดมานี้อาจเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับตัวของนายเองทั้งนั้น เพียงแต่นายยังตระหนักไม่ได้”
เจียงเสี่ยวเหลยรู้สึกมึนงงเล็กน้อยกับคำพูดของเจียงเสี่ยวไป๋ เขาไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี
สีหน้าของเขาดูเหมือนกำลังสิ้นหวังและหดหู่
ทำไมประโยคนี้ทำให้เขารู้สึกสิ้นหวังและหมดความมั่นใจเลยล่ะ
“ถ้าไม่กวาดบ้านแล้วจะกวาดโลกได้ยังไง ใช่ไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋เปลี่ยนน้ำเสียงของเขาและพูดต่อ “เราต้องเริ่มทำจากสิ่งเล็ก ๆ ฝึกฝนจิตใจของนาย ปลูกฝังความเพียร แล้วค่อยคิดการใหญ่ ชั่วชีวิตของคนเราสามารถอ่านหนังสือได้หลายพันเล่ม เดินทางหลายพันไมล์ เพิ่มพูนความรู้ของนายไปเรื่อย ๆ และอีกอย่าง นายต้องเปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้น เปิดใจ นายถึงจะรู้ว่าในโลกนี้มีความเป็นไปได้ไม่รู้จบ”
มันเป็นอย่างนี้เองหรือ ?
เจียงเสี่ยวเหลยดูสับสนมาก
ทว่าสิ่งที่พี่รองพูดก็ดูเหมือนจะมีเหตุผล
“ผมเข้าใจแล้ว” เจียงเสี่ยวเหลยพูดเสียงแผ่ว
“การรู้และการลงมือทำเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน และในระหว่างนั้นก็ยังมีความท้าทายนับไม่ถ้วน”
เจียงเสี่ยวไป๋มองไปที่เจียงเสี่ยวเหลยและพูดอย่างมีความหมาย “ในบรรดาพี่น้องหกคน นายเหมือนฉันมากที่สุด อันที่จริง นายเป็นคนที่ฉลาดมาก แต่เป็นคนไม่มั่นคงและใจร้อน”
“แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่นายรู้ของดีของตัวเองแล้ว นายจะสามารถทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าได้ตามที่นายหวัง”
เจียงเสี่ยวเหลยก้มหน้าลง ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือญาติพี่น้อง คนที่พวกเขามักจะยกย่องมากที่สุดคือเจียงสี่ยวหยู นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับคำชมว่าฉลาด
อีกทั้งคนที่ยกย่องเขาก็คือพี่รองของเขา คนที่เขาชื่นชมมากที่สุด
“พี่รอง ผมจะเชื่อฟังพี่ จากนี้ไปถ้าพี่บอกให้ผมทำอะไร ผมก็จะทำ” เจียงเสี่ยวเหลยพูดออกมาด้วยความหนักแน่น
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าและพูดว่า “งั้นสิ่งที่ฉันเพิ่งสั่งให้นายทำ นายจำได้ไหม”
“ได้”
เจียงเสี่ยวเหลยตอบกลับและรีบลงมือทันที
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มอย่างรู้ทัน จากนั้นเขาก็เดินออกไปที่ลานบ้านด้วยความรู้สึกที่ดีเป็นพิเศษ เมื่อมองขึ้นไปก็เห็นเนินเขาเขียวขจีในระยะไกลที่อาบแสงอาทิตย์ตกอันงดงาม สะท้อนกับท้องฟ้าสีทองยามพลบค่ำ และแม่น้ำสายใหญ่ที่ส่องประกายระยิบระยับยามพระอาทิตย์อัสดง ราวกับเข็มขัดหยกที่รัดเชิงเขาไว้
ในบ้านมุงกระเบื้องแต่ละหลังมีควันโขมงจากห้องครัว สุนัขสีเหลืองสองตัววิ่งไล่จับกันในลานหญ้า ผู้เฒ่าเฉินที่ผ่าฟืนเสร็จเดินโซเซกลับเข้าบ้านโดยมีกองฟืนกองใหญ่อยู่บนหลัง…
เจียงวานแห่งนี้เต็มไปด้วยความเงียบสงบ และมีทัศนียภาพที่สวยงามมาก
“เสี่ยวไป๋ ฉันเอาปลาที่นายสั่งมาส่ง”
ในเวลานี้ เจียงเสี่ยวโจวได้เดินเข้ามาพอดี เสียงของเขาดังเข้ามาขัดจังหวะการชมทิวทัศน์ของเจียงสี่ยวไป๋
“ขอบคุณนะพี่โจว”
เจียงเสี่ยวไป๋รับถังไม้ที่มีปลาอยู่ข้างในขึ้นมาและถามว่า “เท่าไหร่ครับ ? ”
เจียงเสี่ยวโจวโบกมือ “ฉันพูดไปแล้วว่าไม่ขายให้นาย เอาไปกินเถอะ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ไม่ได้ ของซื้อของขาย ผมก็จะเอาไปขายให้ลูกค้าต่อ”
ขณะที่เขาพูด เขาก็นับปลาตะเพียนในถังซึ่งมีมากกว่าสิบตัว
ปลาตะเพียนเหล่านี้มีขนาดไม่ใหญ่นัก ตัวที่มีน้ำหนักมากกว่า 2 เหลียงในถังนั้นมีประมาณ 3 ตัวเท่านั้น
ปลาตะเพียนในตลาดนั้นจะขายกันในราคาเพียง 8 เหมาต่อชั่ง
เทียบกับราคาหมูไม่ได้
เจียงเสี่ยวไป๋บอกให้หลินจียอินจ่ายให้เจียงเสี่ยวโจวไป 3 หยวน
เจียงเสี่ยวโจวกล่าวว่า “วันนั้นนายก็เอาบุหรี่กับเหล้าไปให้พ่อของฉัน ฉันยังไม่ได้ตอบแทนอะไรเลย”
“มันไม่เหมือนกัน”
เจียงเสี่ยวไป๋ยืนยันที่จะให้เงิน 3 หยวนแก่เจียงเสี่ยวโจวโดยกล่าวว่า “นั่นเป็นของฝากที่หลานชายอย่างผมเอาไปฝากลุงตัวเอง แต่ปลาพวกนี้ผมไม่ได้เอาไปกินเอง ผมซื้อเอาไปขาย ของซื้อของขายจะไม่จ่ายเงินได้อย่างไร ? ในอนาคตหากลูกค้าถามหาปลาอีก ผมจะเอาหน้าที่ไหนไปหาพี่”
เจียงเสี่ยวโจวไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องรับเงินไปและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ฉันจะให้เหล้าไป๋เถียวกับนายก็แล้วกัน”
เจียงเสี่ยวไป๋ก็ไม่คิดที่จะปฏิเสธ
น้ำใจคนก็เช่นนี้ เมื่อเขาให้มา เราต้องตอบแทน แบบนี้สิถึงจะเรียกว่ามีน้ำใจต่อกัน
อย่าคิดสุ่มสี่สุ่มห้าว่าการเป็นญาติหรือเป็นเพื่อนกันจะนิรันดร์เสมอไป ไม่ช้าก็เร็วความสัมพันธ์อาจจะพังลงเมื่อไหร่ก็ได้
ในตอนที่เจียงเสี่ยวโจวให้ไป๋เถียวมา เจียงเสี่ยวเหลยก็ทำที่เจียงเสี่ยวไป๋สั่งเสร็จพอดี เขาจึงเรียกเจียงเสี่ยวไป๋ให้เข้าไปทำอาหาร
“นายเห็นไหม ตราบใดที่นายกล้าลงมือ อะไรที่มันยากก็ไม่ได้ยากเกินความพยายาม”
เจียงเสี่ยวไป๋มองไปที่ผลงานของเจียงเสี่ยวเหลยและชมด้วยรอยยิ้ม
เจียงเสี่ยวเหลยยิ้มด้วยความเขินอาย และตระหนักได้ครั้งแรกว่าการทำงานบ้านเหล่านี้ก็ไม่ได้น่าอึดอัดอย่างที่คิด
อาจเป็นเพราะสิ่งที่พี่รองสอนแตกต่างจากคนอื่น
เจียงเสี่ยวไป๋เริ่มทำอาหารและพูดกับเจียงเสี่ยวเหลยไปว่า “ที่จริง ไม่ว่านายจะทำอะไร ตราบใดที่นายใส่ใจกับมัน มันก็จะสนุก ยิ่งถ้านายเข้าใจถึงขั้นตอนและวิธีการของมันแล้วล่ะก็ นายก็จะสามารถกุมทุกอย่างไว้ในมือได้”
เจียงเสี่ยวเหลยได้ยินแบบนั้นจึงถามขึ้นมาด้วยความสับสน “อย่าบอกนะว่าพี่ก็เอาความคิดนี้มาใช้กับการทำอาหารด้วย ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “แม่กับฉันทำอาหารเมนูเดียวกัน แล้วทำไมนายกับพ่อถึงคิดว่าอาหารของฉันอร่อยกว่ากันล่ะ ? ”
“บางคนคิดว่าเทคนิคการทำอาหารแตกต่างกัน”
“แต่ในความเป็นจริงแล้ว ขั้นตอนพื้นฐานที่สุดคือการควบคุมความร้อน ปริมาณเครื่องปรุง และลำดับการทำให้ถูกต้อง”
“การควบคุมความร้อนตอนทำอาหารทำให้เราสามารถจัดการกับสิ่งต่าง ๆ ลำดับของการใส่เครื่องปรุงก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก”
เจียงเสี่ยวเหลยอ้าปากค้าง
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินความจริงเหล่านี้
ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ
“พี่รอง ทำไมพี่ถึงรู้มากขนาดนี้”
เจียงเสี่ยวเหลยถามด้วยความชื่นชม
“เฮอะ ๆ ……”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “ในช่วง 2 ปีที่ฉันสำมะเลเทเมาไปทั่ว ผู้คนเห็นเพียงแค่ว่าฉันดื่มเหล้าและเล่นการพนัน แต่ความจริงแล้วทั้งหมดมันเป็นแค่ภาพลวงตา ตอนนั้นฉันกำลังค้นหาความจริงของชีวิตต่างหาก”
ถ้าหลินเจียอินฟัง เธอจะบอกว่าเขากำลังพูดเรื่องไร้สาระหลอกเด็ก
แต่เจียงเสี่ยวเหลยนั้นเชื่อในสิ่งที่พี่รองของเขาพูดอย่างไร้ข้อกังขา
“พี่รอง ต่อไปหากมีอะไรผมจะถามพี่”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าด้วยความพอใจ ในขณะที่แนะนำเจียงเสี่ยวเหลยให้เข้าใจหลักการของชีวิต เขาก็ทำอาหารไปด้วย
อาหารจานหลักของคืนนี้คือเนื้อตุ๋นและหัวไชเท้าเปรี้ยว
นอกจากนี้ เจียงเสี่ยวไป๋ยังเอาปลาตะเพียนที่จะเอาไปทำอาหารให้โรงงานเครื่องจักรกลการเกษตรในวันพรุ่งนี้มาฆ่าสองตัวเพื่อทำซุปปลาตะเพียน
และทำปลาลายขาวชุบแป้งทอดกรอบ ซึ่งเมนูนี้หอมมันเข้ากันได้ดีกับเหล้าที่ซื้อมา
และยังมีผัดผักอีกสองจาน ไม่นาน อาหารเย็นแสนอร่อยก็พร้อมเสิร์ฟ
ทั้งครอบครัวรวมตัวกันเพื่อกินอาหารเย็น เจียงเสี่ยวไป๋หยิบขวดเหมาไถออกมาแล้วเทให้เจียงไห่หยางและเจียงเสี่ยวเฟิง ทุกคนกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันด้วยความเอร็ดอร่อย
“ชานชาน เนื้ออร่อยไหม ? ”
ตอนที่กำลังกินข้าวกันอยู่นั้น เจียงเสี่ยวเหลยก็ได้ถามขึ้นมาอย่างจงใจ
“อร่อยมาก”
เจียงชานตอบอย่างมีความสุข ลืมความเศร้าเรื่องที่ควายตัวใหญ่ถูกฆ่าไปโดยสิ้นเชิง
เจียงเสี่ยวไป๋ส่ายหัว เด็กไม่เคยโกหกจริง ๆ สุขก็บอกว่าสุข เศร้าก็บอกว่าเศร้า ชอบก็บอกว่าชอบ ไม่เคยเสแสร้ง
ความคิดความรู้สึกของพวกเขานั้นบริสุทธิ์ที่สุด และทุกอย่างก็เป็นไปตามสิ่งที่พวกเขาคิด
อย่างไรก็ตาม ภายใต้ความบริสุทธิ์นั้น ธรรมชาติของมนุษย์ได้ถูกเปิดเผยออกมาอย่างไม่ต้องสงสัยเช่นกัน แม้เธอจะโศกเศร้าเพราะควายตัวใหญ่ถูกฆ่า แต่ก็เป็นเพียงความสงสารของมนุษย์
แต่ความสงสารไม่สามารถต้านทานความปรารถนาและความหิวกระหายของมนุษย์ได้
ดูเหมือนว่าอีกไม่นาน เขาต้องเริ่มอบรมสั่งสอนลูกสาวตัวน้อยของเขาแล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋มองไปที่เจียงชานและคิดในใจอยู่คนเดียว