ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 89 :ที่นั่งที่สงวนไว้สำหรับแขกผู้ทรงเกียรติ
- Home
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 89 :ที่นั่งที่สงวนไว้สำหรับแขกผู้ทรงเกียรติ
ตอนที่ 89 :ที่นั่งที่สงวนไว้สำหรับแขกผู้ทรงเกียรติ
เช้าวันรุ่งขึ้น
เจียงเสี่ยวไป๋ได้หิ้วไก่แก่ที่ซื้อมาจากบ้านของพ่อแม่เมื่อคืนพร้อมกับปลาตะเพียนที่ซื้อเมื่อวานเข้ามาในเมือง
หลังจากทำเมนูพะโล้ผักทั้งหมดในร้านเสร็จแล้ว เขาก็เริ่มทำไก่พะโล้และตุ๋นปลาตะเพียนที่ลูกค้าสั่ง
ส่วนน่องไก่พะโล้ พะโล้เห็ดเข็มทองและพะโล้สาหร่ายอย่างละ 20 ชั่งจะถูกนำไปส่งที่โรงงานผลิตเครื่องจักรกลการเกษตรของเมือง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นอาหารเที่ยงสำหรับพนักงาน ส่วนอาหารที่เอาไว้ต้อนรับรองนายกเทศมนตรีจาง หวังเหล่ยได้สั่งไก่พะโล้ทั้งตัวและตุ๋นปลาตะเพียนไว้
เจียงเสี่ยวไป๋คิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็คีบหัวหมูพะโล้และหูหมูพะโล้ลงในชาม ตักน้ำพะโล้ใส่ถุงและนำไปส่งที่โรงงานเครื่องจักรกลการเกษตรของเมืองพร้อมกัน
“เถ้าแก่เจียง ขอบคุณมาก”
เมื่อเห็นไก่พะโล้ทั้งตัวและตุ๋นปลาตะเพียนที่เจียงเสี่ยวไป๋นำมาส่ง หวังเหล่ยก็กล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้ม
เพียงแต่ตอนแรกบอกว่าเมื่อวานเป็นปลาตัวใหญ่ แต่ทำไมมันกลายเป็นปลาตะเพียนตัวเล็ก ๆไปได้ ซึ่งดูไม่ค่อยน่ากินสักเท่าไหร่หากตักรวมใส่จานไปเสิร์ฟขึ้นโต๊ะ
“หัวหน้าหวัง เวลาคุณให้คนเสิร์ฟเมนูปลาตะเพียนนี้ อย่าเสิร์ฟรวมกันนะครับ ให้จัดใส่จานเล็ก ๆ และเสิร์ฟจานต่อจานให้แขกแต่ละคน”
“มันเรียกว่าการเสิร์ฟแบบไฟน์ไดนิ่ง [1] ! ซึ่งหมายความว่าอาหารจานนี้จะแตกต่างจากจานอื่น ๆ และโดยทั่วไปจะเป็นการเสิร์ฟเฉพาะอาหารที่หาทานยากเท่านั้น มันคือการเสิร์ฟอาหารที่จะเสิร์ฟให้เฉพาะคนสำคัญเท่านั้น”
แต่เมื่อเห็นความสงสัยในดวงตาของหวังเหล่ย เจียงเสี่ยวไป๋จึงอธิบายด้วยรอยยิ้ม
“เสิร์ฟแบบไฟน์ไดนิ่ง ? ”
นี่เป็นครั้งแรกที่หวังเหล่ยได้ยินคำใหม่นี้ ซึ่งมันฟังดูหรูดี
หากนำวิธีนี้ไปเสิร์ฟอาหารให้รองนายกเทศมนตรีจาง เขาคงจะมีความสุขและรู้สึกได้ถึงการเป็นแขกคนสำคัญของที่นี่
“เถ้าแก่เจียง ฉันจะจำเอาวิธีนี้ไปใช้”
“นี่คือค่าอาหารของวันนี้”
น่องไก่พะโล้ 20 ชั่ง ชั่งละ 4 หยวน รวมเป็น 80 หยวน
พะโล้ผัก 40 ชั่ง ราคาชั่งละ 6 เหมา รวมเป็น 24 หยวน
ตุ๋นปลาตะเพียนราคาตัวละ 5 เหมา ทั้งหมด 12 ตัว รวมเป็นเงิน 6 หยวน
ไก่พะโล้ทั้งตัวราคา 6 หยวนเช่นเดียวกัน
หัวหมูพะโล้ราคาชั่งละ 2.2 หยวน และหูหมูพะโล้ราคาชั่งละ 3.5 หยวน
เมื่อรวมกันแล้วก็เป็นเงิน 121.7 หยวน
ในตอนนั้น หวังเหล่ยก็ได้ยื่นธนบัตร 10 หยวน จำนวน 13 ใบให้เขา
“หัวหน้าหวัง คุณให้เงินเกินมา” เจียงเสี่ยวไป๋หยิบธนาบัตร 10 หยวนออกมา 1 ใบและคืนให้กับหวังเหล่ย
หวังเหล่ยโบกมือครั้งแล้วครั้งเล่าและพูดว่า “ไม่ ไม่ เถ้าแก่เจียง คุณอุตส่าห์ทำอาหารพิเศษสองเมนูนี้ให้แก่โรงงานของเราและยังแถมน้ำพะโล้มาให้ด้วย เงินนี้ถือว่าเป็นค่าเสียเวลาของคุณก็แล้วกัน”
เมื่อได้ยินแบบนั้น เขาก็ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธอย่างไร เจียงเสี่ยวไป๋ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรับเงินมา
ตอนเที่ยงตรง หลังจากเสร็จสิ้นการตรวจสอบโรงงานแล้ว รองนายกเทศมนตรีจางและคณะได้เข้ามาในโรงอาหารเพื่อรับประทานอาหารเที่ยง
“ฉันได้ยินมาว่าอาหารสำหรับคนงานในโรงงานของคุณนั้นอร่อยมาก วันนี้ฉันจะมีบุญปากได้ทานของอร่อยไหมนะ ? ” รองนายกเทศมนตรีจางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หัวหน้าโรงงาน โจวฉางซงกล่าวว่า “ด้วยคำแนะนำและการดูแลของท่านรองนายก ทำให้ในปีนี้โรงงานของเราได้ผลประกอบการที่ดีมากจนทำให้คนงานของเราได้กินอาหารที่ดีขึ้น ทางเราต้องขอบคุณท่านรองนายกจริง ๆ ”
ขณะที่เขาพูดนั้น เขาก็เชิญรองนายกเทศมนตรีจางเข้าไปนั่งในห้องอาหารเล็ก ๆ ที่แยกต่างหาก
“เอ่อ พวกเราทานกับคนอื่น ๆ ได้ ทำไมต้องแยกโต๊ะแบบนี้ด้วย ? ”
เมื่อรองนายกเทศมนตรีจางเห็นว่ามีเพียงโต๊ะเดียวในห้อง จึงถามด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม
ทุกวันนี้ แม้ว่าอาหารที่นำมาต้อนรับพวกเขาจะแตกต่างจากอาหารของพนักงาน แต่ทุกที่ที่พวกเขาไปก็จะได้นั่งรับประทานอาหารในโรงอาหารของโรงงานตามปกติ ทว่าโรงงานเครื่องจักรกลการเกษตรกลับมีการจัดโต๊ะทานอาหารให้พวกเขาแยกออกมาอีกห้อง ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่รองนายกเทศมนตรีจางเคยเจอ
โจวฉางซงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ปีนี้มีพนักงานใหม่เพิ่มเข้ามาเป็นจำนวนมาก โรงอาหารด้านนอกค่อนข้างแออัด ทางเราต้องขออภัยด้วยที่ต้องให้ท่านมาทานอาหารในห้องเล็ก ๆ แบบนี้”
รองนายกเทศมนตรีจางพยักหน้าด้วยความพอใจ “เอาล่ะ พวกเราก็ไม่อยากรบกวนคนงานที่กำลังกินอาหารกลางวันเช่นกัน”
“ครับ งั้นเชิญท่านนั่งก่อนครับ”
โจวฉางซงยิ้มและเชิญรองนายกเทศมนตรีจางไปที่หัวโต๊ะ
ในปี 1983 โต๊ะกลมยังไม่ได้รับความนิยม ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ร้านอาหาร หรือโรงอาหาร ผู้คนส่วนใหญ่จะนิยมใช้โต๊ะรับประทานอาหารทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า และส่วนมากผู้นำจะนั่งตรงหัวโต๊ะ ส่วนลูกน้องจะนั่งด้านข้างซึ่งเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน
แต่ทว่าเรื่องพวกนี้ รองนายกเทศมนตรีจางก็ไม่ได้ปฏิเสธ และนั่งลงอย่างว่าง่าย
หลังจากที่เขานั่งลงแล้ว คนอื่นก็เริ่มเข้าไปนั่ง
หวังเต๋อคุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมและเฉียนฟางอี้ อธิบดีกรมการคลังนั่งอยู่ทางฝั่งซ้าย ส่วนโจวฉางซงและติงจวิ้นเจี๋ย เลขาของรองนายกเทศมนตรีจางนั่งอยู่ทางฝั่งขวา ถัดมาคือหวังเหล่ย
เมื่อคนทั้งหกมานั่งที่โต๊ะเป็นที่เรียบร้อย อาหารก็ถูกนำมาเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว
อาหารแปดอย่างและซุปหนึ่งอย่าง มีไก่พะโล้เป็นอาหารจานหลัก นอกจากนี้ยังมีหัวหมูพะโล้และหูหมูพะโล้ ส่วนที่เหลือเป็นเมนูเนื้อสัตว์สองอย่าง เมนูผักสามอย่างและซุปไข่
ด้านหน้าพวกเขาแต่ละคนมีแก้วเหล้าวางอยู่ด้วย
และก็มีเหล้าเหมาไถอีกสองขวดวางไว้ตรงกลางโต๊ะ
“หัวหน้าโจว คุณทำได้เกินมาตรฐานที่เราคาดไว้มาก ๆ ”
รองนายกเทศมนตรีจางมองไปที่อาหารกลางวันที่หรูหราและกล่าวชื่นชมออกมา
ตอนที่เขาไปตรวจสอบโรงงานอื่น ๆ โรงงานส่วนใหญ่จะต้อนรับพวกเขาด้วยอาหารสี่อย่างและซุปอีกหนึ่งอย่าง แต่หากโรงงานไหนมีสภาพการเงินที่ดีหน่อย ก็จะมีอาหารต้อนรับหกอย่าง และซุปหนึ่งอย่าง
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่รองนายกเทศมนตรีจางถูกต้อนรับด้วยอาหารแปดอย่าง และซุปอีกหนึ่งอย่าง
ยิ่งไปกว่านั้น อาหารที่โรงงานเครื่องจักรการเกษตรเตรียมต้อนรับพวกเขาก็ดูจะพิเศษกว่าที่อื่น อาหารหลายจานดูฉ่ำด้วยซอสและส่งกลิ่นหอมชวนกิน ทำให้นิ้วชี้ของเขากระตุกด้วยความอยากลอง
“ท่านรองนายกวางใจได้ ไม่เกินมาตรฐานแน่นอนครับ”
“แม้จะดูเหมือนมีเยอะขึ้น แต่ส่วนใหญ่เป็นเมนูพะโล้ เป็นอาหารที่พนักงานของเรากินทุกวัน”
“ช่วงนี้ท่านไม่ค่อยได้มาที่นี่บ่อยนัก ดังนั้นเราจึงอยากต้อนรับด้วยอาหารเมนูเดียวกันกับที่คนงานในโรงงานของเราได้กิน ต้องขอโทษด้วย”
โจวฉางซงกล่าวด้วยใบหน้าที่รู้สึกผิด
“เมนูพะโล้ ? ”
รองนายกเทศมนตรีจางผงะไปเล็กน้อย เพราะเขาไม่เคยกินจริง ๆ
เขายิ้มและพูดว่า “หัวหน้าโจว ที่คุณพูดก็ไม่ถูกต้อง การทานอาหารแบบเดียวกับคนงานไม่ใช่เรื่องผิดอะไร หน้าที่ของเราคือการเข้าถึงคนงานเหล่านั้นและคลุกคลีกับพวกเขาให้มาก เพื่อที่จะได้รู้ปัญหาและพัฒนางานให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป”
“ใช่ ใช่ ที่ท่านพูดมาก็ถูก”
โจวฉางซงรีบยอมรับความผิดพลาดของเขาและพูดว่า “งั้นเชิญท่านลองชิมเมนูพะโล้ที่คนงานของเราชอบกินดูครับ”
“อื้ม ! ”
รองนายกเทศมนตรีจางพยักหน้า เขาเอาตะเกียบไปคีบหัวหมูพะโล้เข้าปากทันที
เมื่ออาหารเข้าปาก เขาก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
รสชาตินี่มันอร่อยมาก ทั้งหอม ! ทั้งเผ็ด !
รสชาติแบบนี้เป็นรสชาติที่เขาชอบมาก
“อร่อย ! ”
รองนายกเทศมนตรีจางไม่ลังเลที่จะกล่าวชมเชยออกมา และคีบชิมเมนูพะโล้อีกหลายรายการติดต่อกัน
หวังเต๋อคุน เฉียนฟางอี้ และติงจวิ้นเจี๋ยที่มาด้วยกันต่างก็ได้ในกลิ่นหอมของเมนูพะโล้มาตั้งแต่ที่มันถูกยกมาเสิร์ฟ และทุกคนต่างก็กล่าวชมออกมาหลังจากได้ชิมมัน
“ไม่คิดว่าพะโล้ผักจะอร่อยขนาดนี้”
”ใช่ มันเผ็ดและหอม กลมกล่อมมาก”
“เมื่อพูดถึงคนที่ชอบทานอาหารรสเผ็ด ไม่มีใครเทียบท่านรองจางของเราได้”
“มาเถอะ ในนามของพนักงานทุกคนในโรงงานเครื่องจักรกลการเกษตร วันนี้เราขอต้อนรับนายกเทศมนตรีจางที่ท่านได้มาชี้แนะแนวทางในการทำงานให้เรา”
“……”
ท่ามกลางเสียงชื่นชม งานเลี้ยงอาหารกลางวันก็ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ มีการพูดคุยและดื่มกันอย่างมีชีวิตชีวามาก
“ท่านรอง เราขอเสิร์ฟเมนูไฟน์ไดนิ่งให้คุณ ! ”
ระหว่างมื้ออาหาร บริกรในโรงอาหารได้นำเมนูพิเศษที่ทำจากปลาตะเพียนมาวางบนโต๊ะตรงหน้ารองนายกเทศมนตรีจางและพูดเบา ๆ
เสิร์ฟแบบไฟน์ไดนิ่ง ?
คำศัพท์ใหม่งั้นหรือ
หวังเต๋อคุน เฉียนฟางอี้และติงจวิ้นเจี๋ยไม่เคยได้ยินคำเรียกนี้มาก่อน
รองนายกเทศมนตรีจางขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยสีหน้าประหลาดใจ และพูดว่า “ผู้อำนวยการโจว อาหารบนโต๊ะก็ยังมีอยู่นะ”
โจวฉางซงไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาจึงมองไปที่หวังเหล่ย
หวังเหล่ยพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นี่คือตุ๋นพะโล้ปลาตะเพียนที่เป็นเมนูพิเศษของวันนี้ ซึ่งจะเสิร์ฟให้ทุกท่านคนละหนึ่งจาน”
รองนายกเทศมนตรีจางพยักหน้า และพูดกับหวังเหล่ยด้วยรอยยิ้ม “คุณถือว่าเป็นหัวหน้าแผนกที่ละเอียดรอบคอบมาก ๆ ที่เอาเทคนิคการเสิร์ฟอาหารซึ่งใช้กันในโรงแรมหรูระดับเมืองมาใช้ในโรงอาหารของพนักงาน”
หวังเหล่ยเหงื่อแตกอย่างอดไม่ได้ สมแล้วที่เป็นผู้นำ ไม่มีอะไรรอดหูรอดตาผู้ชายคนนี้ไปได้เลย เขารู้เพียงว่าการเสิร์ฟอาหารแบบนี้ดูหรูหรา แต่เขาไม่คาดคิดว่ารองนายกเทศมนตรีจางจะรู้จักด้วย
อย่างไรก็ตาม การได้เห็นใบหน้าที่มีความสุขของรองนายกเทศมนตรีจางทำให้เขารู้สึกโล่งใจ
“ท่านรองจางและทุกท่านลองชิมตุ๋นปลาตะเพียนนี้ดู นี่คือปลาแม่น้ำชิงเจียงที่จับมาเมื่อวานนี้ มันสดมาก”
“ได้เลย”
รองนายกเทศมนตรีจางหัวเราะ และพูดกับหวังเต๋อคุนและคนอื่นว่า “พวกคุณทุกคนลองชิมดู หัวหน้าหวังตั้งใจเตรียมเมนูนี้เป็นพิเศษ นี่ถือเป็นมารยาทสูงสุดในการต้อนรับแขกผู้มีเกียรติเชียวนะ”
หวังเต๋อคุนและคนอื่นต่างก็ยิ้มแย้มออกมา และรีบชิมเมนูที่ทำจากปลาตะเพียนด้วยความตื่นเต้น
แขกผู้มีเกียรติร่วมกันรับประทานอาหารด้วยความเอร็ดอร่อย
หลังจากกินเสร็จ รองนายกเทศมนตรีจางก็ยังรู้สึกว่าไม่อิ่ม และเอาแต่พูดว่าตุ๋นปลาตะเพียนนั้นอร่อยมาก
[1] การเสิร์ฟแบบไฟน์ไดนิ่ง (Fine Dining) คือการทานอาหารที่อร่อย คนทานทานแล้วมีความสุขกลับไป อาหารประเภทไฟน์ไดนิ่งมักจะอยู่ในร้านอาหารหรือภัตตาคารระดับพรีเมี่ยม ที่พร้อมเสิร์ฟทั้งอาหารและเครื่องดื่ม ที่ปรุงขึ้นมาจากวัตถุดิบคุณภาพดี ถูกคัดสรรมาอย่างดี มีมาตรฐานในเรื่องของรสชาติและการตกแต่งจาน รวมไปถึงการบริการที่เหนือกว่าร้านอาหารทั่วไปอย่างชัดเจน