ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 9 :สามีของคุณเก่งนะ
ตอนที่ 9 :สามีของคุณเก่งนะ
“จะสนใจทำไมว่าเขาไปทำอะไร แค่ไม่ไปปล้นใครก็พอแล้ว”
เห็นเจียงเสี่ยวไป๋ตัดไม้ไผ่กลับมา หลินเจียอินถอนหายใจอย่างโล่งอก เพราะถึงอย่างไรเจียงเสี่ยวไป๋ก็ถือมีดออกไปจากบ้าน หากเขาไปปล้นไปขโมยของใครขึ้นมา มันจะเหนื่อยมาถึงเธอและชานชาน
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้พูดอะไร หลังจากที่เขาวางไม้ไผ่ลง เขาได้ตัดท่อนไม้ไผ่บริเวณโคนที่ตรงให้ได้ความยาวประมาณ 1.56 เมตรจำนวน 1 ท่อน แล้วผ่าแบ่งเป็นซีกไม้ไผ่ที่มีความหนาประมาณ 3 เซนติเมตร จากนั้นใช้มีดเหลาท่อนไม้ไผ่จนเรียบ
เขามองมันพลางพยักหน้าอย่างพอใจ
เจียงเสี่ยวไป๋ตัดไม้ไผ่ที่เหลือเป็นท่อนยาวสองฟุตแล้วผ่าซีกทั้งหมด
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็กลับเข้าไปในบ้านเพื่อหาถุงกระสอบ จากนั้นก็ดึงด้ายไนล่อนออกมากองใหญ่ แล้วใช้ด้ายสองเส้นบิดเป็นเชือกยาวประมาณสองเมตร
เมื่อเห็นว่าเชือกบางเกินไป เขาจึงบิดด้ายเพิ่มอีกสองสามรอบเพื่อทำให้เชือกหนาขึ้นเล็กน้อย
เขาดึงมันอย่างแรง เมื่อรู้สึกว่ามันทั้งเหนียวและยืดหยุ่นพอ เจียงเสี่ยวไป๋จึงพยักหน้าด้วยความพอใจ
“ป่า…ป๊าทำอะไรน่ะ ? ”
เจียงชานน้อยกินซาลาเปาไส้หวานแล้วอารมณ์ดีมาก ถึงปกติหนูน้อยจะกลัวเจียงเสี่ยวไป๋ แต่เธอไม่เคยเห็นเขาทำอะไรที่บ้านมาก่อน หนูน้อยสังเกตเห็นว่าวันนี้ป่าป๊าดูไม่ดุเหมือนทุกวัน เลยวิ่งเข้าไปถามด้วยความสงสัย
เห็นลูกสาวเริ่มชวนคุย เจียงเสี่ยวไป๋ใจแทบละลาย
“พ่อกำลังทำคันธนูและลูกธนู จากนั้นพ่อจะไปล่าสัตว์หาเนื้อสัตว์มาทำอาหารให้ชานชานกิน” เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงที่อ่อนโยน เพราะเขากลัวว่าจะทำให้ลูกสาวตกใจกลัวเกินไป
ล่าสัตว์ ?
มันคือเรื่องสนุกใช่ไหม ?
ดวงตากลมโตของหนูน้อยเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่เธอเข้าใจสิ่งที่เขาพูด ดังนั้นความอยากรู้อยากเห็นในดวงตาของเธอจึงเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้นอย่างรวดเร็ว “จริง…หรอคะ ? ”
“จริงสิ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้ายืนยัน “เย็นนี้เราจะมีเนื้อกินแน่นอน”
“ดีจังเลย ! ”
หนูน้อยปรบมืออย่างดีใจ แล้วตะโกนอย่างมีความสุข “เย่ คืนนี้เราจะได้กินเนื้อแล้ว หม่าม๊า คืนนี้เรากินเนื้อกันเถอะ”
หลินเจียอินได้ยินเจียงเสี่ยวไป๋บอกว่าจะทำธนูล่าสัตว์ ดวงตาคู่งามของเธอก็เบิกกว้างด้วยความตกตะลึงทันที
เขาตัดไม้ไผ่มาเพื่อทำธนูงั้นหรือ ?
แถมยังบอกว่ากำลังจะไปล่าสัตว์บนภูเขา ?
นี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงให้คำสัญญาว่าจะได้กินเนื้อในมื้อเย็นใช่ไหม ?
แต่เรื่องนี้ฟังดูไม่น่าเชื่อถือเลย
ต้องรู้ว่าในบ้านคนล่าสัตว์ของเจียงวานต่างก็มีปืนลูกซองกันทั้งนั้น ยกตัวอย่างเช่นพรานจาง เขามักจะขึ้นไปบนเขาเพื่อล่าสัตว์อยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ก็เห็นเขาได้สัตว์กลับมาแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น
อีกอย่าง เธอไม่เห็นจะเคยได้ยินมาก่อนเลยว่าเจียงเสี่ยวไป๋ล่าสัตว์เป็น
เรื่องที่แม้แต่พรานล่าสัตว์ยังไม่กล้ารับประกัน อย่างเจียงเสี่ยวไป๋จะไหวหรือ ?
หลินเจียอินส่ายหน้าพัลวัน เธอไม่เชื่อคำพูดของเขาหรอก หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า “คุณจะล่าสัตว์ได้หรือ ? ”
“สามีของคุณเก่งจะตาย เรื่องล่าสัตว์ไม่ใช่เรื่องยากเลย”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างมั่นใจ
หลังจากกลายเป็นคนร่ำรวยในชาติที่แล้ว ครอบครัวของเขาไม่สนใจเขา และเขาเองก็ไม่มีเพื่อนเลย นอกจากหาเงินแล้ว เขามีงานอดิเรกอยู่สองอย่าง อย่างแรกคือเรียนทำอาหาร และอีกอย่างคือล่าสัตว์
เขายังเคยไปล่าช้างและหมาป่าที่แอฟริกามาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการใช้ปืนลูกซองหรือหน้าไม้ เขาล้วนเป็นปรมาจารย์ทั้งนั้น
แน่นอนว่าคันธนูและหน้าไม้ที่ใช้ในเวลานั้นเป็นหน้าไม้เชิงกล ซึ่งมีอานุภาพสูงมาก
แต่ตอนนี้ไม่มีของพวกนั้นแล้ว เขาจึงทำได้เพียงตัดไม้ไผ่เพื่อทำคันธนูและลูกศรแบบโบราณ
อย่างไรก็ตาม เขาเชื่อว่าด้วยทักษะการยิงธนูและประสบการณ์ในการล่าสัตว์ของเขา การยิงพวกสัตว์ตัวเล็ก ๆ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
แต่หลินเจียอินที่ได้ยินคำพูดของเขากลับไม่คิดแบบนั้น เธอคิดว่าเจียงเสี่ยวไป๋ไม่มั่นใจในตัวเอง แต่เขาแค่เย่อหยิ่งและเสแสร้ง
“เจียงเสี่ยวไป๋ ถ้าคุณจะติดเล่นก็แล้วแต่คุณ แต่คุณจะมาโกหกชานชานไม่ได้” หลินเจียอินพูดอย่างโมโห
ผมจะหลอกชานชานได้อย่างไร ?
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่เข้าใจ
“เด็กมักคิดว่าคำพูดของผู้ใหญ่เป็นเรื่องจริงเสมอ ถ้าคุณล่าสัตว์กลับมาไม่ได้ คุณก็จะทำให้ชานชานผิดหวัง และเธอจะคิดว่าคุณกำลังโกหกเธอ เธอจะคิดว่าผู้ใหญ่พูดไม่เป็นคำพูด”
เดิมทีหลินเจียอินเกิดในครอบครัวนักวิชาการ อีกทั้งเธอยังเคยเรียนในวิทยาลัยครูมาก่อน แม้เธอจะมีความเป็นอยู่ที่ยากลำบากหลังจากที่แต่งงานและย้ายมาอยู่กับเจียงเสี่ยวไป๋ แต่เธอมักมีหลักการในเลี้ยงดูชานชานอยู่เสมอ เธอคิดว่าจะต้องบอกเรื่องนี้กับเจียงเสี่ยวไป๋ให้ชัดเจน
อืม คุณจะเพิกเฉยต่อลูกก็ได้ แต่คุณจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของลูกในทางที่ผิดไม่ได้
ในฐานะคนที่เคยมีชีวิตมาแล้วหนึ่งชาติ เจียงเสี่ยวไป๋ย่อมเข้าใจผลกระทบของคำพูดและการกระทำของพ่อแม่ที่มีต่อการเติบโตของลูก
หลินเจียอินไม่เชื่อในตัวเขา เธอถึงได้คิดว่าเขาจะทำไม่ได้อย่างที่พูด
พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ ทุกอย่างพิสูจน์ได้ด้วยการกระทำเท่านั้น
“ผมทำได้”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดแล้วก็เอาไม้ไผ่ยาวขนาดเมตรกว่าไปที่ครัว หลังจากจุดไฟแล้ว เขาก็เอาไฟลนไม้ไผ่อยู่หลายจุด รอจนกระทั่งลนไฟได้ที่แล้ว เขาถึงได้ออกแรงดึงมันให้งอ
วิธีนี้จะทำให้เกิดคันธนู
จากนั้นเขาก็ผูกเชือกไนลอนที่บิดไว้เข้าไป และธนูแบบดั้งเดิมก็ถูกประกอบขึ้น
ที่เหลือก็มีแต่ลูกธนูแล้ว
ส่วนนี้ง่ายมาก เจียงเสี่ยวไป๋นำไม้ไผ่ยาว 2 ฟุตมาเหลาให้ปลายด้านหน้าสุดกลายเป็นหัวธนูที่แหลมคม ส่วนด้านหลังทำปีกลูกธนูโดยเหลาให้หน้าแคบปลายหนา ส่วนท้ายสุดผ่าทำให้เป็นร่องท้ายธนูเพื่อเอาไว้ใช้เสียบกับสายธนู
เจียงเสี่ยวไป๋ตวัดมีดผ่าซีกไม้ไผ่อย่างรวดเร็วราวกับกำลังใช้ทักษะมีดบิน ในไม่ช้าเขาก็สามารถเหลาลูกธนูไม้ไผ่ได้ 30-40 ดอกในหนึ่งชั่วโมง
“ที่รัก ผมจะไปล่าสัตว์แล้ว คุณรอผมกลับมานะ”
เจียงเสี่ยวไป๋เก็บธนูและลูกธนู จากนั้นเขาก็ไปหยิบกระสอบมาอีกหนึ่งใบ หลังจากบอกกล่าวภรรยาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาก็ขึ้นภูเขาต้าชิงไป
ภูเขาต้าชิงเป็นพื้นที่ป่าทึบที่มีสัตว์ป่ามากมาย แต่การล่าเองนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แม้แต่พรานจางผู้มีประสบการณ์ด้านปืนและการล่าสัตว์ก็มักจะกลับมามือเปล่า นับประสาอะไรกับชาวบ้านธรรมดา
เจียงเสี่ยวไป๋โชคดีไม่เบา หลังจากเขาเข้าป่าไปได้ประมาณครึ่งชั่วโมง เขาก็เจอเข้ากับไก่ฟ้าสีทองท้องแดงตัวหนึ่ง
ในยุคสมัยก่อนที่เขาจะกลับมาเกิดใหม่ ไก่ฟ้าสีทองท้องแดงได้กลายเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองระดับ 2 ของชาติ ซึ่งไม่สามารถล่าได้แล้ว
แต่ในยุค 80 แบบนี้ ไก่ฟ้าสีทองท้องแดงไม่ได้เป็นสัตว์ป่าหายากขนาดนั้น
“ฉันเริ่มเปิดที่แกเลยแล้วกัน”
เจียงเสี่ยวไป๋เห็นมันก็ดีใจ เขางอคันธนูและตั้งลูกศร และแล้วแสงสีฟ้าก็พุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ไก่ฟ้าสีทองท้องแดงจะทันได้ตอบสนอง ลูกธนูก็ยิงเข้าที่ตัวมันทำให้มันร่วงลงจากกิ่งไม้ตกลงมาบนพื้นแล้ว
ยิงธนูไปดอกแรกก็ได้เหยื่อแล้ว สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นถึงฝีมือการยิงธนูของเขา อีกทั้งยังเพิ่มความมั่นใจให้กับเจียงเสี่ยวไป๋ด้วย
เขาวิ่งเข้าไปหาไก่ฟ้าที่ล่ามาได้ หลังจากดึงลูกธนูออกแล้ว เขาก็จับมันยัดใส่กระสอบแล้วเดินเข้าไปในป่าต่อ
เดินเข้าไปได้ไม่นานก็ล่ากระต่ายป่าได้อีก 1 ตัว
เดินเข้าไปอีกหน่อยก็ได้กระต่ายป่าเพิ่ม
ผ่านไปไม่นานก็ได้ไก่ฟ้ามาอีก 1 ตัว
……
หลังจากเขาเดินวกไปวนมาอยู่ในป่าทึบบนภูเขาต้าชิงเป็นเวลานานกว่า 3 ชั่วโมง จนกระทั่งพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า เจียงเสี่ยวไป๋ถึงได้หิ้วกระสอบใส่สัตว์ป่าที่ล่ามาได้ลงจากบนเขา
การขึ้นเขามาล่าสัตว์ในครั้งนี้ได้ผลดีเกินคาด เขาล่าไก่ฟ้าสีทองท้องแดงได้ 2 ตัว กระต่ายป่า 4 ตัว แต่สิ่งที่ยากกว่านั้นคือเขาล่าเลียงผามาได้ 1 ตัว ซึ่งมันเป็นสัตว์ที่พรานป่าทั่วไปล่าได้ยากมาก
เลียงผาก็เหมือนกวาง มันกระโดดหลบเก่งและวิ่งเร็วมาก ต่อให้ใช้ปืนลูกซองก็ไม่ได้การันตีว่าจะยิงโดนมัน
แต่เขายังคงยืนหยัดที่จะใช้ธนูและลูกธนูที่ทำจากไม้ไผ่ เขายิงธนูดอกแรกไปทำให้เลียงผาได้รับบาดเจ็บแล้วไล่ตามเลียงผาอยู่ในป่าเป็นเวลานานกว่า 10 นาที หลังจากยิงลูกธนูออกไปอีก 15-16 ดอก ในที่สุดเขาก็สามารถฆ่าเลียงผาได้
เลียงผาตัวนี้มีขนาดตัวไม่น้อยเลยทีเดียว ตัวของมันยาวเกือบ 90 เซนติเมตรได้ มันน่าจะมีน้ำหนักประมาณ 40 ชั่ง กระสอบที่เขาเตรียมมาก็ไม่สามารถยัดมันลงไปได้
มันคือความน่ายินดีที่มาอย่างเหนือความคาดหมาย
เจียงเสี่ยวไป๋จัดการเลียงผาเรียบร้อยแล้ว เขาก็โยนธนูและลูกธนูที่เหลือทิ้งไป
เพราะเขาตั้งใจว่าจะไม่ล่าสัตว์อีกแล้ว
ท้ายที่สุด สัตว์ป่าที่รสชาติอร่อยเกือบทั้งหมดจะกลายเป็นสัตว์หายากและสัตว์คุ้มครองของชาติในอนาคต
อืม เขาต้องเปลี่ยนความคิดแล้วล่ะ
เจียงเสี่ยวไป๋ใช้มือหนึ่งหิ้วเลียงผา อีกมือหิ้วกระสอบ เขาเดินลงจากภูเขาและคิดเรื่องนี้ไปด้วย
ตอนแรกที่เขาทำธนูก็เพื่อขึ้นเขาไปล่าสัตว์มาทำอาหารให้ภรรยาและลูกได้กินในตอนเย็น แต่คิดไม่ถึงเลยว่าครั้งนี้เขาไม่เพียงแต่สามารถล่าสัตว์กลับมาได้เยอะเท่านั้น แต่เขายังล่าเลียงผามาได้อีก 1 ตัวด้วย
ถ้ากินเองในครอบครัวคงกินไม่หมดแน่นอน
อีกทั้งตอนนี้ไม่ใช่ฤดูหนาว เก็บไว้ที่บ้านก็คงเน่าก่อนกินหมด เพราะฉะนั้นทางที่ดีที่สุดคือนำมันไปขาย
และถ้าต้องการขาย หากเขาทิ้งไว้ที่บ้านหนึ่งคืนก็จะทำให้เนื้อสัตว์ไม่สด
เจียงเสี่ยวไป๋ดูสีท้องฟ้า เขาคิดแล้วว่าถ้าหากขายที่อำเภอชิงซานคงขายไม่ได้ราคาเท่าไหร่ ต้องนำเข้าไปขายในเมือง ดังนั้นเขาจึงยังไม่กลับบ้าน แต่แบกสัตว์ที่ล่ามาได้วิ่งเข้าไปทางตัวเมืองแทน