ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 90 :พาภรรยาและลูกสาวไปเป็นแขก
ตอนที่ 90 :พาภรรยาและลูกสาวไปเป็นแขก
วันนี้ร้านขายดีขึ้นกว่าเมื่อวาน ดังนั้นเมื่อเจียงเสี่ยวไป๋กลับมา ก็แทบจะไม่ได้หยุดพัก
ตอนเที่ยง เหรินฉางเซี่ยได้มาที่ร้าน
“ผู้กองเหริน ทำไมคุณถึงมาไม่บอกล่ะ” เจียงเสี่ยวไป๋หยุดสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ และเดินออกมาต้อนรับ
เหรินฉางเซี่ยหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “พูดเสียอย่างกับว่าผมมาไม่ได้อย่างนั้นแหละ”
“ที่ไหนกัน ผู้กองเหรินมาร้านเล็ก ๆ ของเราทั้งที เราจะต้องต้อนรับเป็นอย่างดีแน่นอน”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยรอยยิ้ม และเชิญเหรินฉางเซี่ยให้เข้าไปนั่ง
เมื่อทั้งสองนั่งลง เหรินฉางเซี่ยก็กล่าวว่า “ผมอยากเจอคุณมานานแล้ว แต่สองสามวันที่ผ่านมาผมไม่ว่างเลย วันนี้แม่ของผมออกจากโรงพยาบาลพอดี เลยตั้งใจว่าจะชวนคุณไปทานข้าวที่บ้านเราเย็นนี้”
“คุณป้าหายดีแล้วหรือครับ ? ” เจียงเสี่ยวไป๋ถามเรื่องนี้ออกไปแทน
“อาการดีขึ้นบ้างแล้วแหละ”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเหรินฉางเซี่ย “เธอบอกว่าติดหนี้บุญคุณคุณ สิ่งแรกที่เธอขอให้ผมทำหลังจากออกจากโรงพยาบาลคือขอให้ผมมาเชิญคุณไปทานอาหารเย็นที่บ้าน”
“ผมไม่มีปัญหาอยู่แล้วครับ”
เจียงเสี่ยวไป๋คิดและไม่ได้ปฏิเสธอะไร
เหรินฉางเซี่ยกล่าวว่า “เลขที่ 316 ถนนชิงหยุน บ้านพักของเจ้าหน้าที่สำนักความมั่นคงสาธารณะ บ้านเลขที่ 16 อย่าลืมมาเร็ว ๆ นะ”
พูดจบ เขาก็ลุกขึ้น
เขาดูกระฉับกระเฉงและจากไปทันทีที่เขาพูดจบโดยไม่รอช้า
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและลุกขึ้นเพื่อออกไปส่งเขา
เมื่อทั้งสองเดินออกไปถึงนอกประตู เหรินฉางเซี่ยก็หยุดกะทันหัน ก่อนจะหันหน้ามาและพูดว่า “ยังมีอีกเรื่อง ตอนนี้คดีได้รับการตัดสินแล้ว หม่าตงหลาย หวงฟู่ไห่ เฉินต้าจือ เจิ้งต้าเปียวและคนอื่นรวมแกนนำหลักทั้ง 8 คนถูกตัดสินโทษประหารชีวิตหลังจากนี้อีกไม่กี่วัน ส่วนผู้สมรู้ร่วมคิดที่เหลือถูกตัดสินจำคุกตั้งแต่ 3-15 ปี”
เจียงเสี่ยวไป๋ผงะไปครู่หนึ่ง เขาไม่ได้คาดหวังว่าหม่าตงหลายและคนอื่นจะถูกตัดสินโทษเร็วขนาดนี้
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเทียบกับชาติที่แล้ว ทั้งหม่าตงหลายและนักเลงเฉินต่างก็ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต แต่ไม่ใช่รับโทษประหาร
ทว่าเมื่อลองคิดดู ปีนี้มีการปราบปรามครั้งใหญ่ที่สุดในประเทศ อาชญากรรมทั้งหมดจะถูกตัดสินโทษอย่างรวดเร็วและรับโทษที่รุนแรง ดังนั้นเขาจึงพอเข้าใจได้
“ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากครับ ผมเชื่อว่าคำตัดสินนี้จะทำให้ทุกคนพอใจ”
เจียงเสี่ยวไป๋ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
เหรินฉางเซี่ยพยักหน้าและพูดว่า “คุณมีส่วนอย่างมากในการกวาดล้างแก๊งอาชญากรของหม่าตงหลาย ถือเป็นการช่วยกำจัดเนื้อร้ายของชาติบ้านเมือง”
เจียงเสี่ยวไป๋โบกมือปัด ไม่ขอรับคุณงามความดีนี้
เหรินฉางเซี่ยยิ้มและรู้ว่าเจียงเสี่ยวไป๋ไม่สนใจชื่อเสียงปลอม ๆ เหล่านี้ ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “พาภรรยาและลูกสาวของคุณไปด้วยนะ”
พูดจบ เขาก็เดินจากไป
เจียงเสี่ยวไป๋เอาข่าวนี้ไปบอกกับหลินเจียอิน ทำให้หลินเจียอินรู้สึกดีใจอยู่พักหนึ่ง แต่ดูเหมือนเธอจะเขินอายเล็กน้อยที่จะต้องไปทานอาหารเย็นที่บ้านของเหรินฉางเซี่ย เธอจึงถามเขาอย่างไม่แน่ใจ “ฉันกับชานชานไปด้วย มันจะดีหรือ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ “ผู้กองเหรินเชิญครอบครัวของเราเป็นการส่วนตัว ดังนั้นเราจะปฏิเสธเขาได้อย่างไร”
สุดท้าย เขาก็ไม่ลืมที่จะพูดว่า “เมียผมสวยขนาดนั้น ผมก็ต้องพาออกไปเปิดตัวบ้างสิ ฮ่าฮ่า…”
หลินเจียอินมองค้อนเขา ก่อนที่จะเดินออกไปอย่างมีความสุข
ในตอนเย็น เมื่อพวกเขาไปที่บ้านของเหรินฉางเซี่ยเพื่อทานอาหารเย็น เจียงเสี่ยวไป๋ก็ไม่ได้ไปมือเปล่า เขาแวะไปที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อบุหรี่จงฮั๋ว 1 ซองและเหล้าเหมาไถ 2 ขวดติดมือไปด้วย
เพราะทุกครั้ง ตราบใดที่ไปห้างสรรพสินค้า เขาจะต้องซื้อเหล้าเหมาไถกลับไปอย่างแน่นอน ซึ่งตอนนี้ที่บ้านของเขาก็มีสะสมอยู่หลายสิบขวดแล้ว
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาว่าแม่ของเหรินฉางเซี่ยยังป่วยอยู่ เจียงเสี่ยวไป๋จึงซื้อนมมอลต์อีกสองขวดและแอปเปิ้ลไปฝากอีกหลายชั่ง
แน่นอนว่าเขาได้นำพะโล้ผักของที่ร้านติดมือมาด้วย
และก็ยังมีหัวหมูพะโล้และน่องไก่พะโล้อย่างละ 2 ชั่ง ซึ่งเขาก็ไม่ลืมตักน้ำพะโล้มาด้วย
เวลาประมาณห้าโมงครึ่ง ทั้งสามคนก็ได้มาถึงบ้านพักของเหรินฉางเซี่ย
และคนที่มาเปิดประตูให้พวกเขาคือเด็กหญิงที่มัดผมหางม้าสองข้าง อายุประมาณ 11-12 ปี เธอออกมาต้อนรับพวกเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “คุณคืออาเจียงใช่ไหมคะ คุณย่าของหนูรอคุณมานานแล้ว”
“สวัสดี ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ทักทายด้วยรอยยิ้ม เขามองออกว่าเด็กผู้หญิงคนนี้เป็นเด็กดีและดูมีมารยาทมาก
“เสี่ยวเซี๋ย แขกมาแล้วหรือยัง ? ”
เสียงสูงวัยดังมาจากข้างในห้อง จากนั้นหญิงชราผมหงอกผู้มีใบหน้าซูบผอม สวมผ้ากันเปื้อนพันรอบเอวได้เดินมาที่หน้าประตู
“สวัสดีครับคุณป้า ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวทักทายอย่างสุภาพ
“สวัสดีค่ะคุณป้า ! ”
“สวัสดีค่ะคุณยาย ! ”
หลินเจียอินและเจียงชานกล่าวทักทายกัน
เมื่อจงหยุนฟางเห็นเจียงเสี่ยวไป๋ ดวงตาที่ขุ่นมัวของเธอก็แสดงความตื่นเต้น ขณะเดียวกันก็พยักหน้าตอบซ้ำ ๆ จากนั้นเธอก็ทักทายเจียงเสี่ยวไป๋อย่างอบอุ่น และพาทั้งสามคนเข้าไปข้างในห้อง
“ฉันอยากเชิญพวกคุณมาทานอาหารด้วยกันสักมื้อ แต่ทำไมคุณถึงต้องนำของมามากมายแบบนี้ด้วย ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋วางสิ่งที่เขานำมาลงบนโต๊ะ จงหยุนฟางเห็นแบบนั้นจึงเหมือนผู้ใหญ่ตำหนิเด็กที่เขาซื้อของมาเยอะแยะ
“นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมาเยี่ยมคุณป้า ผมตั้งใจนำพะโล้ผักจากที่ร้านมาให้คุณป้าได้ลองชิมด้วย มันไม่ได้ลำบากอะไรหรอกครับ” เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยรอยยิ้ม
เมื่อมองไปที่ของบนโต๊ะ จงหยุนฟางก็ไม่รู้จะพูดอะไร ดังนั้นเธอจึงได้แต่รอให้ลูกชายของเธอกลับมาและปล่อยให้เขาจัดการกับมัน
“งั้นก็นั่งพักกันก่อน อีกไม่นานฉางเซี่ยก็คงกลับมา”
ทั้งที่เป็นคนไปเชิญให้มารับประทานอาหารเย็นแท้ ๆ แขกมาแล้ว แต่เจ้าภาพยังไม่กลับมา จงหยุนฟางเห็นแบบนั้นจึงได้แต่กล่าวขอโทษ และไปชงชามาให้พวกเขาดื่มรอไปพลาง ๆ
“ไม่เป็นไรครับ ผู้กองเหรินน่าจะมีงานด่วนเข้ามา เป็นเรื่องปกติที่เขาจะยุ่ง”
เจียงเสี่ยวไป๋เข้าใจการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจดี ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการเลิกงานตรงเวลาเลย เพราะบางทีแม้แต่เวลานอนก็อาจได้ออกไปทำงาน
“คุณย่า ขอหนูชงชาด้วยได้ไหมคะ”
เหรินไฉ่เซี๋ยวิ่งไปเอาถ้วยชาออกมา ใส่ใบชาลงไป ยกกระติกน้ำร้อนและเทลงไปบนใบชา
“อาเจียง คุณน้า ดื่มชากันก่อนค่ะ”
เหรินไฉเซี่ยส่งถ้วยน้ำชาเคลือบให้เจียงเสี่ยวไป๋และพูดอย่างสุภาพ
ยุคนี้ เวลามีแขกมาที่บ้านจะไม่เหมือนกับยุคหลังที่จะชงชาให้คนละแก้ว พวกเขาจะชงชาแก้วเดียวให้แขกผลัดกันดื่ม
นั่นเป็นเพราะหนึ่งคือที่บ้านมีถ้วยชาไม่มาก และอาจมีเพียงใบเดียวด้วยซ้ำ
อย่างที่สองคือ คนสมัยนี้ไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ ทุกคนดื่มชาในถ้วยชาใบเดียวกันและไม่ได้คิดว่ามันจะไม่ถูกสุขลักษณะ
“ขอบคุณนะ”
เจียงเสี่ยวไป๋หยิบถ้วยชาร้อนและมองไปรอบ ๆ ห้อง
นี่คือบ้านพักของเจ้าหน้าที่ที่สร้างโดยสำนักความมั่นคงสาธารณะชิงโจว มีห้องนอน 2 ห้องและห้องนั่งเล่น 1 ห้องพร้อมระเบียงและห้องครัว
สำหรับห้องน้ำนั้น ไม่มีห้องน้ำในตัว และจะต้องไปเข้าห้องน้ำส่วนรวมที่อยู่ข้างนอก
เฟอร์นิเจอร์ในห้องนั่งเล่นนั้นเรียบง่ายมาก มีตู้ มีโต๊ะ 2 ตัว และเก้าอี้ 2-3 ตัว ซึ่งเฟอร์นิเจอร์ก็เก่ามาก มีไม้กระดาน 1 แผ่นวางชิดผนังและมีผ้านวมขึงไว้อยู่ด้านข้าง
เห็นได้ชัดว่ามันเป็นการกั้นห้องนั่งเล่นขึ้นมาอย่างลวก ๆ
ในห้องไม่มีการตกแต่งใด ๆ มีเพียงรูปของเด็กติดอยู่ที่ผนังด้านหน้าสองรูป โดยมีชื่อเขียนว่า “เหรินไฉ่เซี๋ย” และ “เหรินจวิน” ซึ่งถูกเขียนด้วยลายมือ
เจียงเสี่ยวไป๋เห็นแบบนั้นก็รู้สึกเศร้าเล็กน้อย
นี่คือบ้านพักของว่าที่รองอธิบดีสำนักความมั่นคงสาธารณะงั้นหรือ? ทำไมมันซอมซ่อแบบนี้
“แม่ของเด็กจากไปก่อนเวลาอันควร ฉางเซี่ยจึงกลายเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวดูแลลูก ๆ สองคนและเขาก็มัวยุ่งกับงาน บ้านก็เลยรกไปหน่อย”
จงหยุนฟางกล่าวด้วยความลำบากใจ
เพราะชาติที่แล้ว เจียงเสี่ยวไป๋จึงรู้ดีว่าชีวิตของเหรินฉางเซี่ยนั้นยากลำบากแค่ไหน เขาจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสารยิ่งขึ้น
แต่อารมณ์แบบนี้ไม่สามารถเปิดเผยได้ ดังนั้นเขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง และชี้ไปที่รางวัลบนผนังแล้วพูดว่า “เด็กทั้งสองคนดูจะเก่งมากเลยนะครับ”
เมื่อพูดถึงหลานทั้งสอง จงหยุนฟางก็ยิ้มออกมาอีกครั้ง