ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 92 :เรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- Home
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 92 :เรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ตอนที่ 92 :เรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สองวันถัดมา ธุรกิจในร้านก็ดำเนินไปตามปกติ
หลังจากที่เจียงเสี่ยวไป๋ทำพะโล้เสร็จแล้ว เขาก็ค่อย ๆ ลดเวลาทำงานในครัวของตนเองลง โดยพยายามให้ถานเสี่ยวฟางมาทำแทนเขาให้ได้มากที่สุด
เพื่อที่เขาจะได้ใช้เวลากับลูกสาวมากขึ้น
เขาไม่ได้จะสอนอะไรเธอ แค่เพียงอยากอยู่กับเธอให้มากขึ้น เล่าเรื่องราวต่าง ๆ เล่นสนุกกับเธอ หรือแม้แต่พูดคุยกับเธอ
เพื่อหวังว่าจะได้ค้นพบความสนใจของเธอ และเข้าใจความคิดของเธอได้มากขึ้นผ่านวิธีนี้
จึงทำให้สองวันมานี้ เจียงชานดูจะมีความสุขที่สุดอย่างเห็นได้ชัด
“ป่าป๊าคือพ่อที่ดีที่สุดในโลก ! ”
หนูน้อยพูดอย่างมีความสุขต่อหน้าหม่าม๊า
หลินเจียอินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จึงถามไปว่า “ชานชาน ทำไมลูกถึงคิดอย่างนั้นล่ะ ? ”
“เพราะป่าป๊าเข้าใจหนูที่สุด ! ”
หนูน้อยยอมรับออกมาตามตรงว่า “ไม่เหมือนน้องเสี่ยวกังลูกพี่ลูกน้องของหนู อาหวังผิงเอาแต่สนใจเรื่องงาน ไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับน้องเสี่ยวกัง”
“น้องเสี่ยวกังน่าสงสารมาก ! ”
หลินเจียอินรู้สึกตกใจเล็กน้อยกับคำพูดของลูกสาวเธอ
เมื่อนึกย้อนกลับไป ตั้งแต่เข้ามาในเมืองเพื่อทำธุรกิจ เธอก็รู้สึกว่าตนเองไม่ค่อยมีเวลาให้ลูกสาวตัวน้อยเลย
บ่อยครั้งที่เจียงเสี่ยวไป๋อยู่กับลูกสาวมากกว่าเธอเสียอีก
“การอยู่ด้วยกันคือความรักที่ยืนยาวที่สุด ! ”
เธอจำสิ่งที่เจียงเสี่ยวไป๋พูดได้ขึ้นใจ
ในตอนนั้นเธอไม่ได้สนใจมันมากนัก แต่หลังจากได้ยินคำพูดของลูกสาวในตอนนี้ เธอก็รู้สึกว่าคำพูดเหล่านี้เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลมาก
20 วันก่อน เจียงชานเห็นพ่อของเธอก็เอาแต่หลบและไม่กล้าเข้าไปใกล้ชิด
และในเวลาเพียง 20 วันต่อมานี้ เจียงชานกลับตัวติดกับพ่อของเธองอมแงม
และในการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นเพราะเจียงเสี่ยวไป๋ได้ใช้เวลากับลูกสาวมากขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเขาอยู่กับลูกสาวของเขา เขาก็ไม่ต่างจากลูกคนโตที่เล่นกับน้องสาว เหมือนไม่ใช่พ่อเลยแม้แต่น้อย
“ป่าป๊าคือเพื่อนที่ดีที่สุดของหนูค่ะ ! ”
เธอจำความลับบางอย่างที่ลูกสาวบอกก่อนนอนเมื่อคืนนี้ได้
ตอนนั้น เธอยิ้มแล้วถามออกไปว่า “แล้วแม่ล่ะ ? ”
”หม่าม๊าคือหม่าม๊าที่ดีที่สุดเหมือนกันค่ะ ! ”
เมื่อได้ยินคำตอบของลูกสาว เธอก็รู้สึกมีความสุขมาก
แต่ทว่าตอนนี้เธอกลับรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
ในหัวใจของลูกสาว พ่อไม่ใช่แค่พ่อ แต่ยังเป็นเหมือนเพื่อนด้วย แต่แม่อย่างเธอก็เป็นแค่แม่เท่านั้น
แม้แต่แม่ที่ดีที่สุดก็ไม่เหมือนกับเพื่อนที่เข้าใจที่สุด
หลินเจียอินตระหนักอย่างชัดเจนว่าในหัวใจของลูกสาว เธอนั้นแตกต่างจากเจียงเสี่ยวไป๋
“ผู้จัดการหลินมานี่หน่อยค่ะ มีคนต้องการพบคุณ”
เสียงตะโกนของถานเสี่ยวฟางได้ดังเข้ามาขัดความคิดของเธอ
“อืม มาแล้ว ! ”
หลินเจียอินเดินออกไปทันที ก่อนจะเห็นชายวัยห้าสิบเศษแต่งกายเรียบร้อย ดูสง่างาม ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์กระจก
“สวัสดีค่ะ ฉันเป็นผู้จัดการร้าน คุณมีอะไรให้ฉันช่วยไหมคะ ? ”
หลินเจียอินถามออกมา เธอไม่ได้ใช้ภาษาถิ่น แต่ใช้ภาษาจีนกลาง เสียงของเธอเหมือนนกขมิ้นร้องเพลง มันใสและน่าฟังมาก
ชายวัยกลางคนผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มและพูดเป็นภาษาจีนกลางไปว่า “สวัสดีผู้จัดการหลิน ผมชื่อหลี่หงจวินมาจากสำนักงานคลังเมืองชิงโจว พอดีคุณหวังเหล่ย ผู้จัดการโรงงานเครื่องจักรกลการเกษตรได้แนะนำผมมาที่นี่ บอกว่าให้ลองมาชิมพะโล้ของที่นี่ดู”
“สวัสดีค่ะผู้อำนวยการหลี่ ! ”
หลินเจียอินตื่นเต้นเล็กน้อยและรีบกล่าวสวัสดี จากนั้นจึงเชิญหลี่หงจวินนั่งลงที่โต๊ะว่างข้าง ๆ
“สำนักงานคลังของเรามีคนค่อนข้างน้อย ถ้าจะสั่งพะโล้วันละ 10 ชั่งก็น่าจะเพียงพอแล้ว เราจึงคิดว่าจะเอาพะโล้หมูและพะโล้ผักอย่างละครึ่ง”
หลี่หงจวินไม่ลังเลและพูดออกมาตามตรงหลังจากที่นั่งลง
“ไม่มีปัญหาค่ะ”
หลินเจียอินตกลงทันที
แม้ว่าปริมาณ 10 ชั่งต่อวันจะเทียบกับ 60 ชั่งต่อวันของโรงงานเครื่องจักรกลการเกษตรไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้น้อยเลย ยิ่งสั่งทุกวันก็ยิ่งดี
หลังจากทั้งสองคุยรายละเอียดกันเสร็จแล้ว หลี่หงจวินก็ขอตัวกลับไป
หลินเจียอินมีความสุขมากที่มีออเดอร์ประจำเข้ามาเพิ่มอย่างไม่ทันตั้งตัวแบบนี้
แต่สิ่งที่เธอไม่คาดคิดก็คือการมาของหลี่หงจวินเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นไม่นาน ก็มีลูกค้าอีกคนมาหาเธอ เป็นหญิงสาวสวมแว่นตา หญิงสาวคนนั้นบอกว่าเธอชื่อเฉินเหมย เป็นผู้อำนวยการประจำของสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมในเมืองชิงโจว
เฉินเหมยต้องการสั่งพะโล้ให้ไปส่งที่สำนักงานทุกวัน ซึ่งสั่งมากกว่าของสำนักงานคลัง เพราะเธอสั่งพะโล้หมู 10 ชั่งและพะโล้ผัก 5 ชั่ง
“ผู้จัดการหลิน ลูกค้าเหล่านี้ล้วนเป็นผู้อำนวยการของหน่วยงานใหญ่ ๆ ทั้งนั้น ทำไมพวกเขาถึงเลือกที่จะมาสั่งพะโล้ของร้านเราล่ะ ? ”
ถานเสี่ยวฟางถามด้วยความตื่นเต้น
หลินเจียอินยิ้มอย่างมีเลศนัย เพราะเธอเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เพียงแต่ว่ามันเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจเล็กน้อยที่ผู้อำนวยการประจำหน่วยงานราชการให้เกียรติมาสั่งพะโล้ที่ร้านของพวกเธอด้วยตนเอง
ทว่านี่ยังไม่ใช่จุดสิ้นสุด
หลังจากนั้นไม่นาน รองผู้อำนวยการสำนักงานเทศบาลที่ชื่อเหลียงจื้อเฉิงก็เข้ามาสั่งพะโล้ โดยเอาพะโล้หมูและพะโล้ผักรวม 30 ชั่งต่อวัน
สิ่งนี้ทำให้หลินเจียอินรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก
ผู้อำนวยการหวังไปพูดอะไรถึงทำให้ผู้อำนวยการจากสำนักงานใหญ่เหล่านี้มาสั่งพะโล้ที่ร้านของพวกเขาได้
ที่แปลกกว่านั้นก็คือคนเหล่านี้ทยอยมาสั่งกันเป็นจำนวนมาก
“สวัสดี ฉันชื่อหลิวเจี้ยนกั๋ว เป็นเจ้าหน้าที่จัดซื้อของร้านอาหารของรัฐ ฉันว่าจะมาสั่งพะโล้ของร้านคุณ”
หลิวเจี้ยนกั๋วมีสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย เขาเป็นเจ้าหน้าที่จัดซื้อของร้านอาหารของรัฐ แทนที่เขาจะมีสิทธิ์ในการตัดสินใจ แต่เขากลับได้รับมอบหมายจากผู้จัดการที่โง่เขลาอย่างฟ่านซือหมิงให้มาซื้อพะโล้ของร้านนี้
และอีกอย่าง เขาไม่ได้มาสั่งซื้อเพียงครั้งเดียว
เพราะที่ปวดใจคืออาหารร้านนี้จะเป็นเมนูประจำที่ต้องสั่งทุกวัน
ร้านอาหารของรัฐจำเป็นต้องมีเมนูพะโล้พวกนี้ด้วยหรือ ?
หลินเจียอินรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งขึ้น พะโล้ในร้านของเธอเป็นที่นิยมขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
แม้แต่ร้านอาหารของรัฐก็ต้องมาสั่งซื้อ หน่วยงานอื่น ๆ ของรัฐก็สั่งทุกวันเหมือนกัน
แม้จะไม่ปวดใจเท่าไหร่ แต่กลับรู้สึกเหมือนถูกเหยียดหยามมาก
ที่แปลกไปกว่านั้นก็คือ หลิวเจี้ยนกั๋วยังสั่งตุ๋นปลาตะเพียนอีกด้วย
แต่เมนูนี้ยังไม่มีขายในร้าน
หลินเจียอินไม่สามารถตัดสินใจได้ ดังนั้นเธอจึงต้องไปถามเจียงเสี่ยวไป๋ก่อน
เจียงเสี่ยวไป๋กำลังอยู่กับลูกและหลานชายของเขาอย่างเจียงชานและหวังกังที่สวนหลังบ้าน เขาเดินไปเดินมาก็ไปเจอชุดหมายรุกเก่าชุดหนึ่ง เขาจึงตั้งใจที่จะสอนเด็กทั้งสองเล่นหมากรุก
“นี่คือเบี้ยม้า แม่ทัพทหารม้า”
“นี่คือเบี้ยปืนใหญ่ แม่ทัพปืนใหญ่ยิงไกล”
“นี่คือเบี้ยองครักษ์ องครักษ์คอยคุ้มกันเบี้ยขุน”
“……”
เจียงเสี่ยวไป๋หยิบตัวหมากรุกขึ้นมาถือไว้ในมือเพื่อสอนเด็กทั้งสองให้จำอักขระบนตัวหมากรุกซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
หลินเจียอินพูดไม่ออก ตัวอักษรที่อยู่บนหมากรุกนั้นซับซ้อนมาก แม้จะสอนเท่าไหร่ บางทีเด็กอายุ 4 ขวบก็อาจจำไม่ได้
ในการสอนเด็กให้รู้จักตัวเบี้ยหมากรุก เรายังคงต้องเริ่มต้นด้วยตัวอักษรง่าย ๆ เช่น “ชื่อเบี้ยขุน เบี้ยองครักษ์ เบี้ยช้าง เบี้ยม้า เบี้ยเรือ เบี้ยปืนใหญ่ เบี้ยทหาร”
เธอจำได้ว่าแม่ของเธอสอนอักษรง่าย ๆ เหล่านี้เมื่อเธอยังเด็ก
เมื่อเห็นแบบนั้น เธอจึงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “คุณต้องสอนให้พวกเด็ก ๆ อ่านจากคำที่ง่ายที่สุดก่อน”
เจียงเสี่ยวไป๋หันกลับมาและยิ้มให้เธอ
“ผมไม่ได้สอนให้พวกเด็ก ๆ อ่าน ผมกำลังสอนพวกเขาให้เล่นหมากรุก”
หลังจากพูดจบ เขาก็หันไปหาเจียงชานและหวังกัง แล้วพูดว่า “จริงไหม ? ”
“ใช่แล้วค่ะป่าป๊า ! ”
“ใช่แล้วครับลุงเจียง ! ”
หลินเจียอินได้ยินแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะและพูดว่า “ก่อนที่คุณจะสอนพวกเขาเล่นหมากรุก คุณไม่ได้สอนให้พวกเขาอ่านตัวอักษรบนหมากรุกนั้นก่อนหรือ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างจริงจังว่า “รูปแบบแตกต่างกัน วิธีการก็แตกต่างกัน และผลลัพธ์ก็ต่างกันด้วย”
“การสอนให้จดจำชื่อเรียกตัวอักษรบนหมากก็คือการเรียนรู้”
“ตามหลักจิตวิทยา การท่องจำถือเป็นสิ่งที่น่าอึดอัดมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่มักจะคิดว่าดี จนเด็กต้องถูกบังคับให้ยอมรับมันอย่างเลี่ยงไม่ได้”
หลังจากพูดแล้ว น้ำเสียงของเขาก็ได้เปลี่ยนไป “แต่การเล่นหมากรุกนั้นแตกต่างออกไป การเล่นหมากรุกคือการเล่นเกม ซึ่งน่าสนใจกว่าการต้องไปท่องจำชื่อเบี้ยพวกนั้นมาก”
“ในการเล่นเกมหมากรุก พวกเขาจะจดจำตัวหมากรุกได้เองโดยปริยาย โดยที่ไม่ต้องไปบังคับให้ตัวเองจดจำ”
“ผมแค่บอกคุณสมบัติของตัวหมากรุกว่าแต่ละตัวมีกติกาแบบไหน เพียงเท่านี้พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องไปท่องจำแล้ว”
หลังจากได้ยินคำพูดนี้ หลินเจียอินก็รู้สึกว่าสิ่งที่เจียงเสี่ยวไป๋พูดนั้นดูเหมือนจะมีเหตุผล
“ว่าแต่ คุณมาที่นี่มีอะไรหรือเปล่า ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ถามขึ้นมา