ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 93 :ความสนุกของเกมหมากรุก
ตอนที่ 93 :ความสนุกของเกมหมากรุก
เมื่อได้ยินที่เจียงเสี่ยวไป๋ถาม หลินเจียอินก็ร้องอุทานออกมาว่า “อ้อ” และก็จำได้ทันทีว่าเธอมาด้วยเรื่องอะไร
เธอบอกเรื่องที่ผู้อำนวยการของหน่วยงานต่าง ๆ มาสั่งพะโล้ ส่วนหลิวเจี้ยนกั๋วยังต้องการสั่งเมนูตุ๋นปลาตะเพียนเพิ่มเติมอีกด้วย
หลังจากที่เจียงเสี่ยวไป๋ได้ฟัง เขาก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
เมื่อได้ยิน เขาก็เดาได้ทันทีว่าที่หน่วยงานอื่นมาสั่งพะโล้ของที่ร้านอย่างกะทันหันแบบนี้ น่าจะได้รับการบอกต่อมาจากโรงงานเครื่องจักรกลการเกษตรของเมือง
และสาเหตุที่ร้านอาหารของรัฐก็สั่งเช่นกัน อาจเป็นเพราะผู้นำบางคนได้ลองกินตุ๋นปลาตะเพียนที่เจียงเสี่ยวไป๋ทำไปให้โรงงานเครื่องจักรกลการเกษตรเมื่อวานนี้แล้วเกิดติดใจ จึงไปแนะนำให้ร้านอาหารของรัฐเอาเมนูของที่นี่ไปขาย
“ผมเข้าใจแล้ว ที่จริงเมนูตุ๋นปลาตะเพียนพวกนี้เราสามารถขายเป็นเมนูพิเศษให้พวกเขาได้” เจียงเสี่ยวไป๋กล่าว
หลินเจียอินจึงถามออกมาว่า “แล้วราคาต่อชั่งเท่าไหร่ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋คิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “เมนูปลาตะเพียนนี้ ผมไม่ได้ขายเป็นชั่ง แต่ผมขายเป็นตัวราคาตัวละ 1 หยวน”
ห๊ะ ?
หลินเจียอินตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
ปลาตะเพียนมีขายในตลาดชั่งละ 8 เหมา โดยปกติแล้วปลาตะเพียนจะมีขนาดไม่ใหญ่มาก ยาวประมาณ 14 เซนติเมตร จะมีน้ำหนักประมาณ 3 เหลี่ยง [1] ในขณะที่ความยาวประมาณ 15 ถึง 16 เซนติเมตรจะมีน้ำหนักประมาณ 4 เหลี่ยง
ถ้าขายแยกตัว นั่นหมายความว่าพวกเขาจะขายได้มากถึงชั่งละ 3 หยวนเชียวนะ
ซึ่งสูงกว่าราคาตามท้องตลาดอยู่หลายเท่าตัว
มันทำกำไรได้เยอะขนาดนี้เลยหรือ
แต่เมื่อลองคิดดู ตอนนี้ร้านของรัฐได้เป็นคนมาขอซื้อเมนูนี้ไปขายต่อ ฉะนั้นหากว่าขายในราคาเท่านี้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
คิดได้แบบนั้น เธอก็เม้มริมฝีปากแล้วเดินออกไปเพื่อพูดคุยกับหลิวเจี้ยนกั๋ว
เจียงเสี่ยวไป๋ยังคงสอนเจียงชานและหวังกังเล่นหมากรุกต่อ
หลังจากสอนวิธีจำตัวหมากรุกไปแล้วหลายครั้ง เขาวางเบี้ยขุนฝั่งสีดำ และเบี้ยขุนฝั่งสีแดง จากนั้นวางเบี้ยทหารข้ามแม่น้ำไว้บนกระดาน
เบี้ยองครักษ์แต่ละตัวของทั้งสองฝ่ายถูกวางไว้ในตำแหน่งบัญชาการ ทั้งฝั่งแดงและดำ
หากสีแดงเคลื่อนที่ก่อน เบี้ยเรือของฝั่งสีแดงก็จะสามารถกินเบี้ยสีดำของฝั่งตรงข้ามได้
“เดี๋ยวสอนวิธีกินฝั่งตรงข้ามก่อน”
เจียงเสี่ยวไป๋แนะนำกติกาสั้น ๆ และสาธิตวิธีการกินฝั่งตรงข้ามด้วยเบี้ยองค์รักษ์เพียงตัวเดียว จากนั้นก็วางหมากสามตัวบนกระดานหมากรุกในตำแหน่งเดิม และปล่อยให้เด็กสองคนเริ่มเดินหมากรุกของพวกเขา
เจียงชานถือหมากรุกสีแดง ซึ่งเป็นฝ่ายโจมตี ส่วนหวังกังถือหมากรุกสีดำซึ่งเป็นฝ่ายตั้งรับ
เจียงชานเริ่มเคลื่อนกองกำลังของเธอข้ามแม่น้ำไปทีละขั้นตอน เพื่อที่จะรุกไปยังพื้นที่ของหมากรุกสีดำ ส่วนหวังกังก็มีเบี้ยเพียงอันเดียวเท่านั้นที่สามารถย้ายไปมาในเขตพระราชวังบนกระดานหมากของเขาได้
เด็กทั้งสองผลัดกันรุกและรับทีละก้าว เกมที่น่าตื่นเต้นและใช้ไหวพริบนี้ได้ทำให้ทั้งเสองคนไม่รู้สึกเบื่อเลย
หลังจากนั้นไม่นาน เจียงชานก็ได้นำเบี้ยของเธอเข้าไปที่กลางตำแหน่งพระราชวังในกระดานหมากรุกของฝั่งสีดำได้ในที่สุด ซึ่งทำให้เบี้ยองครักษ์ของหวังกังไม่สามารถเคลื่อนไหวไปทางไหนได้อีก เห็นแบบนั้น เจียงเสี่ยวไป๋จึงได้ประกาศชัยชนะของหมากรุกแดง
“ว้าว หนูชนะแล้ว ! ”
เจียงชานดูมีความสุขมาก
ในทางกลับกัน หวังกังกลับดูหงุดหงิดเล็กน้อย
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “ในเกมหมากรุกย่อมมีผู้แพ้และชนะ ไม่สำคัญว่าใครจะแพ้บนกระดานหมากรุก แต่ให้จำถึงวิธีการของอีกฝ่ายเอาไว้ และพยายามเอาชนะในครั้งต่อไปให้ได้”
เขาลูบหัวของหวังกังแล้วพูดเบา ๆ ว่า “ที่จริงแล้วการชนะหรือแพ้นั้นไม่สำคัญ แต่สิ่งสำคัญคือเราจะเผชิญหน้ากับความพ่ายแพ้อย่างไรหลังจากที่แพ้”
จากนั้น เขาก็หันไปมองลูกสาวอีกครั้งแล้วพูดว่า “ฉะนั้น ถึงแม้ว่าลูกชนะก็อย่าหยิ่งผยองและอย่าท้อแท้เมื่อพ่ายแพ้ เพราะเราต้องหัดประสบกับความสุขของความสำเร็จและความรู้สึกของการพ่ายแพ้จากการเล่นหมากรุก และเราต้องปลูกฝังความกล้าหาญที่จะเผชิญกับความพ่ายแพ้และความล้มเหลวจากมัน”
เด็กทั้งสองดูเหมือนจะเข้าใจ ก่อนที่ทั้งคู่จะพยักหน้าตอบรับ
เจียงเสี่ยวไป๋ให้พวกเขาแลกเบี้ยสีแดงและสีดำกัน ในรอบนี้หวังกังเล่นเบี้ยสีแดง ซึ่งเป็นฝ่ายโจมตี ส่วนเจียงชานเล่นเบี้ยสีดำ เป็นฝ่ายตั้งรับ
และหลังจากที่เกิดการเรียนรู้จากรอบที่แล้ว หวังกังก็เป็นฝ่ายชนะบ้าง
ในที่สุด หวังกังก็ได้สัมผัสกับความสุขจากการได้รับชัยชนะ ในขณะที่เจียงชานรู้สึกถึงความล้มเหลวในการพ่ายแพ้
อย่างไรก็ตาม จากสิ่งที่เจียงเสี่ยวไป๋ได้สอนพวกเขาก่อนหน้านี้ก็ได้ทำให้เด็กน้อยทั้งสองไม่ได้มีอารมณ์แปรปรวนอย่างชัดเจนเหมือนกับที่พวกเขามีหลังจากรอบแรก
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าด้วยความพึงพอใจและแนะนำพวกเขาต่อไป
เขาปล่อยให้เด็กน้อยทั้งสองเล่นเกมหมากรุกด้วยกันอยู่หลายครั้ง ตราบใดที่พวกเขาเล่นอย่างอิสระและเล่นตามกฎล้วนได้ทั้งนั้น
ผลปรากฏว่า เกิดการเสมอกันขึ้น
เบี้ยทหารตัวเดียวกินเบี้ยองครักษ์ได้ ตราบใดที่เบี้ยทหารไม่เคลื่อนตัวลงล่างเร็วเกินไป หมากแดงก็จะเป็นผู้ชนะ
แต่ถ้าเบี้ยของทั้งสองฝ่ายไม่สามารถเดินขึ้นลงฆ่ากันได้ ก็จะเสมอเช่นกัน
เจียงเสี่ยวไป๋จึงได้แนะนำให้พวกเขาหาเหตุผล และวิธีการที่จะเอาชนะให้เร็วที่สุดในการเคลื่อนไหวแค่ไม่กี่ครั้ง ซึ่งหลังจากทำซ้ำไปมาหลายครั้ง เด็กน้อยทั้งสองก็รู้วิธีการเอาชนะของหมากรุกสีแดงด้วยวิธีที่เร็วที่สุด
“ป่าป๊า เกมหมากรุกสนุกดีค่ะ สอนหนูเล่นวิธีอื่นหน่อย”
“ลุงเจียง ผมเองก็อยากเล่นเป็นหลาย ๆ แบบ”
เมื่อเห็นว่าเด็กทั้งสองสนใจเกมหมากรุกมาก ๆ เจียงเสี่ยวไป๋จึงเปลี่ยนเบี้ยทหารของตัวหมากรุกสีแดงเป็นเบี้ยเรือ และสอนพวกเขาไปทีละขั้น
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในพริบตา เวลาก็ล่วงเลยมาถึงห้าโมงครึ่ง แต่เด็กทั้งสองยังคงติดเกมหมากรุกแจไม่ยอมหยุด เจียงเสี่ยวไป๋เห็นแบบนั้นจึงบอกให้พวกเขาพอก่อนวันนี้ ค่อยเล่นต่ออีกทีในวันพรุ่งนี้
ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง พรุ่งนี้เด็กทั้งสองก็คงจะมาเล่นที่นี่ต่อ
ตอนนี้ภรรยาคงเหนื่อยมากแล้ว เขาต้องพาเธอกลับบ้านไปพักก่อน
หลินเจียอินเหนื่อยมาก ธุรกิจในร้านก็คึกคักมากในวันนี้ ในตอนที่เห็นถานเสี่ยวฟางยุ่งกับการทำพะโล้อยู่ในครัว เธอก็ต้องเข้าไปช่วย
ส่วนท่าทีไม่เอาการเอางานของเจียงเสี่ยวไป๋ทำเอาเธอถึงกับพูดไม่ออกเช่นกัน
เธอไม่สามารถตัดสินได้ว่ามันดีหรือไม่ดี ?
เขาได้แต่เล่นกับเด็กสองคน จนไม่สนใจธุรกิจของร้านเลย
อีกอย่าง คงเพราะเห็นว่ามีมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างที่มีไฟหน้าสว่างไสว ถึงคิดจะกลับเมื่อไหร่ก็ได้ใช่ไหม ?
แต่เธออยากบ้านก่อน 5 โมงเย็น
หลินเจียอินนั่งอยู่ในรถพ่วงข้างด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง
“หม่าม๊า หนูเล่นหมากรุกเป็นแล้ว”
เจียงชานพูดด้วยความภาคภูมิใจ ขณะที่เธออยู่ในอ้อมแขนของหลินเจียอิน
แต่หลินเจียอินจะโกรธลูกสาวไม่ได้
เธอจึงยิ้มออกมาและพูดว่า “ชานชานของแม่ยอดเยี่ยมมาก หนูเป็นคนที่เรียนรู้ได้เร็วมาก”
“อื้อ ! ”
หนูน้อยพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า และท่องจำด้วยน้ำเสียงที่ไร้เดียงสาว่า “เบี้ยช้างเดินแทยงเป็นสี่ทิศเหมือนอักษรเถียน เบี้ยปืนใหญ่ต้องมีหมากกั้นถึงกินฝั่งตรงข้ามได้ เบี้ยทหารข้ามแม่น้ำแล้วห้ามถอยกลับ…”
“นี่คือประโยคที่ป่าป๊าสอนมา”
หลินเจียอินรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก เธอไม่คิดว่าลูกสาวของเธอจะจำตัวหมากรุกได้ เธอยิ้มและพูดว่า “เบี้ยช้างเดินแทยงเป็นสี่ทิศเหมือนอักษรเถียนที่ลูกร้องมา แบบนี้หมายความว่าลูกรู้จักตัวอักษรเถียน(田)ใช่ไหม ? ”
“หนูรู้จักค่ะ”
เธอตอบอย่างภาคภูมิใจและใช้มือแสดงท่าทาง “กรอบสี่เหลี่ยมที่แบ่งด้านในออกเป็นสี่ส่วนเท่า ๆ กัน เขาเรียกว่าตัวเถียนค่ะ’”
“ป่าป๊าบอกว่ามันเหมือนทุ่งนาในอ่าวที่ต่อกันเป็นผืน ๆ ”
หลินเจียอินรู้สึกประหลาดใจ เธอไม่คาดคิดว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะสอนลูกด้วยวิธีนี้
ลูกสาวพูดคุยมาตลอดทาง ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงเจียงวาน
เมื่อไปถึงหมู่บ้าน เจียงเสี่ยวไป๋ก็ได้ขี่รถขึ้นไปยังลานบ้านเอง ในขณะที่หลินเจียอินและเจียงชานต้องเดินขึ้นไป
ก่อนจะขี่รถมาพบกับซูเยี่ยนผิงบนถนน สีหน้าของซูเยี่ยนผิงดูแย่มาก
เมื่อไม่กี่วันก่อน เธอได้พาควายเขาหักไปกินหญ้าจนควายพลัดตกจากไหล่เขาขาหัก เธอจึงต้องจำใจขายควายให้กับลุงจาง ดังนั้นเธอ เฉินหยวนชางและอีกหกครอบครัวจึงขายเนื้อควายได้เงินคืนมา 160 หยวน
แต่ถึงจะได้เงินมา แต่ก็ไม่มีควายเป็นของตัวเองแล้ว
ในชนบทนั้น การไม่มีควายไว้ไถพรวนดินจะส่งผลต่อการทำการเกษตรมาก
หลายครอบครัวจึงปรึกษาหารือกันว่าจะซื้อควายหนุ่มตัวใหม่ อาจจะใช้เวลาปีหรือสองปี เมื่อควายโตขึ้นก็สามารถใช้ไถนาได้อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการสนทนาหารือกันอยู่นั้น เลี่ยวจวี๋จือ หยางจ่างฮุย และหยางซื่อหยุนยินดีที่จะให้ห้าครอบครัวช่วยกันออกเงินซื้อควายหนุ่ม ยกเว้นครอบครัวของหลิวซือกั๋ว
และแม้ว่าเฉินหยวนชางจะไม่ได้พูดอะไร แต่พวกเขาก็ไม่ได้ช่วยพูดแก้ต่างให้หลิวซือกั๋วเช่นกัน
แต่ในที่สุด เลี่ยวจวี๋จือและอีกห้าครอบครัวก็ได้ออกเงินช่วยซื้อควายหนุ่มครอบครัวละ 100 หยวนโดยที่ไม่มีครอบครัวของหลิวซือกั๋วรวมเงินด้วย
และเพราะเหตุนี้ ในอนาคตทุกครอบครัวจะมีควายไว้ใช้งาน แต่ครอบครัวของหลิวซือกั๋วจะไม่มี
ซูเยี่ยนผิงจึงรู้สึกโกรธมาก เธอได้ทะเลาะกับหลิวซือกั๋วที่บ้าน
หลิวซือกั๋วเองก็รู้สึกโกรธในใจตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เมื่อเขาเจอคำพูดที่น่ารำคาญใจของภรรยา เขาก็โมโหและทุบตีซูเยี่ยนผิงอย่างรุนแรงจนจมูกของเธอช้ำ ใบหน้าก็บวมเหมือนหมู
อย่างไรก็ตาม ซูเยี่ยนผิงกลับกล่าวโทษว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของเจียงเสี่ยวไป๋ โดยคิดว่าถ้าเจียงเสี่ยวไป๋ไม่ขายผัดมันฝรั่งตัดหน้าเธอ อย่างน้อยเธอก็จะสามารถหาเงินได้หลายสิบหยวนต่อวันโดยที่ไม่ต้องมาสนใจว่าจะมีควายมาไว้ไถนาหรือไม่
ดังนั้น เธอจึงตัดสินใจไปหานักเลงเฉินเพื่อให้มาจัดการกับเจียงเสี่ยวไป๋
แต่ตอนที่เธอมาถึงอำเภอชิงซาน เธอกลับต้องมาได้ยินข่าวลือว่านักเลงเฉินถูกจับเข้าคุกไปแล้ว
ซูเยี่ยนผิงยังคงสอบถามไปเรื่อย ๆ และพบว่าไม่เพียงแต่นักเลงเฉินจะถูกจับกุมเท่านั้น แต่ยังรู้มาว่าเขาจะถูกยิงเป้าในอีกไม่กี่วันหลังจากนี้ด้วย
“เรื่องมันเป็นแบบนี้ได้ยังไง”
สิ่งนี้ทำให้ซูเยี่ยนผิงตื่นตระหนกขึ้นมาทันที เธอไม่กล้าสอบถามอะไรอีกต่อไป และรีบเดินทางกลับบ้านด้วยความตื่นตระหนก
[1] เหลี่ยง 两 คือหน่วยวัดน้ำหนักของจีน 1 เหลี่ยง = 50 กรัม