ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 98 :รับงานใหญ่
ตอนที่ 98 :รับงานใหญ่
ทั้งสองมาถึงหน้าผาริมแม่น้ำ ซึ่งจวงปี้เฉิงกำลังยืนอยู่บนเนินดินใต้ต้นหนานต้นใหญ่ มองดูระลอกคลื่นสีฟ้าอ่อนของแม่น้ำจากระยะไกล และต้นหนานอันตระหง่านบนหน้าผาในระยะประชิด ดื่มด่ำไปกับทิวทัศน์สักพักหนึ่ง
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ถอนหายใจออกมา “ไม่แปลกใจเลยที่คุณเลือกสถานที่นี้”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม เขาชี้ไปที่ต้นหนานแล้วพูดว่า “ผมวางแผนที่จะจัดสวนสไตล์จีน โดยให้ต้นหนานต้นใหญ่นี้อยู่กลางสวน ตอนที่คุณและคนงานกำลังก่อสร้าง อย่าได้ไปตัดหรือยุ่งกับมันเด็ดขาด”
จวงปี้เฉิงดูเหมือนจะเข้าใจความคิดของเจียงเสี่ยวไป๋ เขาจึงพูดว่า “ไม่ต้องกังวล ผมจะบอกคนงานเอง”
หลังจากพูดจบ เขาก็พูดต่อว่า “คุณสามารถสร้างบ้านแบบไหนก็ได้ที่คุณต้องการ แต่คุณต้องส่งแบบแปลนมาให้ผมด้วย”
ขณะที่พูด เขาก็มองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋อย่างมีความหวัง
เพราะแบบแปลนตอนตกแต่งร้านอร่อยสามมื้อครั้งล่าสุดนั้นเป็นแบบแปลนที่เจียงเสี่ยวไป๋วาดเอง
เขาได้เรียนรู้อะไรมากมายจากมัน
ครั้งนี้ เจียงเสี่ยวไป๋จะสร้างบ้านเอง เขาจึงอดใจแทบไม่ไหวที่จะเห็นมัน
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าและพูดว่า “คุณจัดการเรื่องการสร้างถนนให้เสร็จก่อน แล้วผมจะเอาแบบแปลนบ้านมาให้”
พูดจบ เขาก็ชี้ไปทางถ้ำที่อยู่ด้านล่างหน้าผาแล้วพูดต่อว่า “ในเวลานั้นจะมีการสร้างบ้านเป็นแถวตรงทางเข้าถ้ำ โดยมีหลังคายื่นออกมาจากถ้ำ เพื่อให้บ้านและถ้ำเชื่อมติดรวมกัน ช่วยหาคนงานมาวัดขนาดของปากถ้ำให้ผมด้วย”
จวงปี้เฉิงตกตะลึง ทางเข้าถ้ำนั้นกว้างหลายจ่าง หากสร้างบ้านเป็นแถวที่นั่นก็จะสามารถทำห้องได้มากกว่าสิบห้อง
หากรวมกับงานบนเนินดิน นี่มันไม่ใช่งานน้อย ๆ เลย
ในเวลาเดียวกัน เขาก็ตกตะลึงกับความคิดของเจียงเสี่ยวไป๋อีกครั้ง
โดยทั่วไป ถ้ำในภูเขาจะอบอุ่นในฤดูหนาว และเย็นสบายในฤดูร้อน หากสร้างบ้านให้เชื่อมต่อกับถ้ำเพื่อให้เป็นอาคารกึ่งถ้ำกึ่งบ้าน แบบนี้จะไม่เพียงแต่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากเท่านั้น แต่มันจะทำให้ภายในบ้านไม่ร้อนในฤดูร้อน ไม่หนาวเกินไปในฤดูหนาว ซึ่งอุณหภูมิของมันน่าจะเย็นสบายพอดี
หลังจากทั้งสองคุยกัน จวงปี้เฉิงก็ถอนหายใจออกมาด้วยความทึ่ง
ตอนแรก เขาคิดว่ามันเป็นงานเล็ก ๆ แต่ไม่คาดคิดเลยว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะมอบโปรเจ็กต์ใหญ่ให้กับเขาแบบนี้
หลังจากกลับมาถึงเมืองชิงโจวแล้ว จวงปี้เฉิงก็เตรียมทีมงานก่อสร้างให้เดินทางไปที่เจียงวานทันที
ในยุคนี้ ถนนและบ้านเรือนถูกสร้างขึ้นโดยไม่มีเครื่องจักรและอุปกรณ์เสริมใด ๆ ดินและกรวดล้วนถูกขุดขึ้นมาด้วยมือและบรรทุกขึ้นบนไหล่ทั้งนั้น
ทีมก่อสร้างของจวงปี้เฉิงที่มีจำนวน 30-40 คนได้เดินทางไปยังเจียงวานพร้อมเครื่องมือครบครัน ขบวนคนที่เยอะแบบนี้ทำให้ชาวบ้านจำนวนมากต่างตกใจ
ในตอนแรกก็มีชาวบ้านบางคนเข้ามาหยุดพวกเขาเพราะคิดว่าเป็นการบุกรุก แต่พอเจียงไห่เทียนออกมาต้อนรับ ทุกคนถึงรู้ว่าเจียงเสี่ยวไป๋ต้องการสร้างบ้านริมแม่น้ำ
คนในหมู่บ้านเริ่มพูดถึงเรื่องนี้ทันที
“เจียงเสี่ยวไป๋คิดยังไงถึงไปสร้างบ้านริมแม่น้ำแบบนั้น เขาไม่กลัวน้ำท่วมหรือไง ? ”
“นั่นน่ะสิ สร้างบ้านอยู่ริมแม่น้ำโดดเดี่ยวเพียงหลังเดียว มันจะไปมีชีวิตชีวาอะไร”
“หากจะย้ายบ้านไปอยู่ริมแม่น้ำ ไม่มีถนนตัดผ่าน แบบนั้นเขาก็ต้องสร้างถนนก่อนที่จะสร้างบ้าน แล้วเขาจะเอาเงินที่ไหนมานักหนา”
“เราไม่เข้าใจสิ่งที่เขาทำหรอก”
“ในเมื่อเขาตัดสินใจไปแล้ว ก็ปล่อยเขาอยู่ตามลำพังนั่นแหละ อย่าไปสนใจเขาเลย”
“ไอ้หยา พวกคุณคิดว่าคนอย่างเจียงเสี่ยวไป๋จะง้อคนงั้นหรือ ขนาดจะสร้างบ้าน เขายังไม่มาขอให้พวกเธอไปช่วยเขาทำเลย ถึงขั้นยอมเสียเงินไปจ้างทีมงานก่อสร้างมาทำให้เชียวนะ”
“……”
ในเวลานี้เอง เจียงไห่หยางที่ได้ยินชาวบ้านพูดถึงเจียงเสี่ยวไป๋ก็อดไม่ได้ที่จะด่าทอลูกชายออกมา “ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็คงไม่ให้มันเกิดมา ไม่มีกาลเทศะเอาซะเลย จะสร้างบ้านแล้วแท้ ๆ แต่ไม่แม้จะมาพูดกับฉันสักคำ”
หวังซิ่วจวี๋ได้ยินแบบนั้นก็พูดออกมาด้วยความไม่พอใจว่า “ในเมื่อเสี่ยวไป๋ก็แยกครอบครัวออกไปตั้งนานแล้ว มีความจำเป็นอะไรที่เขาต้องมาปรึกษาคุณอีก”
เธอทำเสียงไม่พอใจและพูดต่อ “อีกอย่าง เสี่ยวไป๋เขามีความคิดเป็นของตัวเอง ต่างคนต่างความชอบ”
เจียงไห่หยางตกตะลึง ได้แต่เอามือขึ้นมาจับหนวดเคราของเขาเอาไว้ เจียงเสี่ยวไป๋ไม่อยู่ที่นี่อีกแล้ว หลังจากนี้พวกเขาต้องอยู่กันลำพัง
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเจียงวาน
หลังจากที่เขาส่งจวงปี้เฉิงกลับไปที่เมืองแล้ว เขาก็ขี่มอเตอร์ไซค์พ่วงข้างไปที่เฉินเจียโกว เพราะเขาไม่คาดคิดว่าจวงปี้เฉิงจะพาทีมก่อสร้างไปที่เจียงวานเร็วขนาดนี้
ไม่อย่างนั้นเขาคงจะเข้าไปบอกเรื่องนี้กับเจียงไห่เทียนล่วงหน้าแน่นอน
เหตุผลที่เจียงเสี่ยวไป๋มาที่เฉินเจียโกว เพราะเขารู้ว่าห้องโถงบรรพบุรุษของตระกูลเฉินและบ้านของตระกูลเฉินอยู่ที่นี่
ตระกูลเฉินเป็นเจ้าของที่ดินจำนวนมากในแถบนี้ ว่ากันว่าหนึ่งในบรรพบุรุษของพวกเขาเคยเป็นข้าราชการระดับสอง
อย่างไรก็ตาม ช่วงที่รัฐบาลมีการรณรงค์ให้พิฆาตสี่เก่า[1]ในยุคปฏิวัติวัฒนธรรมนั้น ห้องโถงบรรพบุรุษตระกูลเฉินได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการถูกทำลาย แม้แต่บ้านของตระกูลเฉินก็ไม่รอด ทั้งโต๊ะ เก้าอี้และตู้ส่วนใหญ่ภายในบ้านถูกชาวบ้านแถวนี้มาแย่งกันเอาไป คนในตระกูลเฉินก็ถูกขับไล่ออกไปจากบ้าน บ้านของตระกูลจึงว่างเปล่าถูกทิ้งร้างมาเป็นเวลานาน
จนกระทั่งต่อมาในศตวรรษที่ 21 พ่อค้าวัตถุโบราณได้ขายงานแกะสลักไม้ ระแนงหน้าต่าง งานแกะสลักหิน และเฟอร์นิเจอร์บางส่วนที่เคยอยู่ในห้องโถงบรรพบุรุษตระกูลเฉินและลานบ้านตระกูลเฉิน
ซึ่งเจียงเสี่ยวไป๋ก็บังเอิญไปซื้อมาในเวลานั้น
ดังนั้น เมื่อเจียงเสี่ยวไป๋คิดเกี่ยวกับการสร้างบ้านที่บ้านเกิดของเขา เขาจะนึกถึงหอบรรพบุรุษตระกูลเฉินและบ้านตระกูลเฉินเป็นอันดับแรก
เนื่องจากเขาตัดสินใจที่จะจัดสวนสไตล์ยุคเก่าแบบจีน ซึ่งเขาสามารถใช้ของจากที่นั่นได้
หลังจากที่เจียงเสี่ยวไป๋มาถึงเฉินเจียโกว เขาก็พบว่าบริเวณบ้านของตระกูลเฉินในปัจจุบันมีชายที่ชื่อเฉินเจิ้นฮวาเป็นเจ้าของ
เขาจึงตรงไปที่บ้านของเฉินเจิ้นฮวาทันที
ลูกสาวของเฉินเจิ้นฮวาจบการศึกษาระดับมัธยมปลายในปีนี้ด้วยผลการเรียนที่ดี และตอนนี้เธอก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว
แต่การเข้าเรียนมหาวิทยาลัยมีค่าใช้จ่ายที่สูง เมื่อเจียงเสี่ยวไป๋เข้าไปพูดคุยว่าเขาต้องการซื้องานแกะสลักไม้เก่า อีกฝ่ายก็ตกลงอย่างไม่ลังเลทันที
เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านในห้องโถงบรรพบุรุษตระกูลเฉินและบริเวณบ้านตระกูลเฉินทั้งหมดถูกขายให้กับเจียงเสี่ยวไป๋ในราคา 300 หยวน แถมเฉินเจิ้นฮวายังบอกอีกว่าต่อให้เจียงเสี่ยวไป๋อยากรื้อถอนบ้านหลังนี้แล้วเอาพวกกระเบื้องหรืออิฐไปก็ยังได้
ท่าทางนี้ทำให้เจียงเสี่ยวไป๋ตกตะลึงไม่น้อย
“งั้นผมจะรื้อถอนและนำกระเบื้องกับอิฐเก่าไปจริง ๆ นะ”
“เอาไปเลย เอาไปได้เลย จะได้เอาออกไปให้พ้นสายตาฉันเสียที” เฉินเจิ้นฮวาพูดด้วยท่าทางรังเกียจ
ในตอนที่เกิดการรณรงค์ให้พิฆาตสี่เก่า เขารู้สึกหนักใจอย่างยิ่งกับห้องโถงของบรรพบุรุษนี้และลานบ้านแห่งนี้ เพราะเขาเองก็ถูกผู้คนวิพากษ์วิจารณ์เป็นเวลาหลายเดือนอยู่เหมือนกัน
แต่ตอนนี้เขาได้ลงหลักปักฐานแล้ว เขาจึงไม่ต้องการมีชีวิตแบบนั้นอีกต่อไป
เจียงเสี่ยวไป๋ได้เพิ่มเงินให้กับเฉินเจิ้นฮวาอีก 50 หยวนเพื่อปลอบใจเรื่องที่เขาได้เจอมา และขอให้เขาเขียนข้อความเป็นลายลักษณ์อักษรว่าการซื้อขายนี้ถูกต้อง ก่อนที่เขาจะกลับออกมาอย่างมีความสุข
เมื่อเขากลับมาถึงร้าน ก็เป็นเวลาบ่ายสี่โมงเย็นแล้ว
“ป่าป๊าไปไหนมาทั้งวันคะ ไม่เห็นมาเล่นกับหนูเลย”
เมื่อเห็นเจียงเสี่ยวไป๋ เจียงชานก็ทำหน้าบึ้งตึง พูดด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว มีสีหน้าไม่พอใจ
เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกผิดต่อเธอจึงพูดว่า “พ่อกำลังจะสร้างบ้านใหม่ให้ชานชาน หลังจากสร้างบ้านเสร็จ เราจะย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านหลังใหม่ และพ่อจะได้มีเวลาอยู่กับชานชานมากขึ้นไง”
“ดีเลยค่ะ ! ”
เจ้าตัวเล็กดูดีใจขึ้นมาทันที
“มาเถอะ ไหนพอดูสิว่าวันนี้ฝีมือพัฒนาขึ้นมากแค่ไหน”
เจียงเสี่ยวไป๋เรียกหวังกังเข้ามา จากนั้นก็วางตัวหมากรุกและเล่นกับเด็กทั้งสองอีกครั้ง
คนทั้งสามเล่นหมากรุกจนเพลิน กระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงห้าโมงเย็น จึงได้แยกย้ายกันกลับบ้าน
หลังจากขี่มอเตอร์ไซค์พ่วงข้างมาสุดทางลูกรัง เจียงเสี่ยวไป๋ก็เห็นผู้คนมากมายกำลังวุ่นวายอยู่บนพื้นที่รกร้าง โดยมีเพิงชั่วคราว 7-8 แห่งตั้งขึ้นมา เขาจึงรู้ว่าจวงปี้เฉิงพาคนงานมาที่นี่แล้ว
หลินเจียอินก็เห็นจวงปี้เฉิงและตกตะลึงกับฉากที่อยู่ตรงหน้าเธอเช่นกัน
ระหว่างทางกลับ เจียงเสี่ยวไป๋ได้บอกเธอเกี่ยวกับการว่าจ้างทีมงานของจวงปี้เฉิงให้มาก่อสร้างบ้านหลังใหม่ให้ แต่เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าจวงปี้เฉิงจะเริ่มงานเร็วขนาดนี้
“ผมจะเข้าไปดูก่อน”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ และขอให้หลินเจียหยินพาเจียงชานกลับไปก่อน จากนั้นเขาก็เดินไปหาจวงปี้เฉิง
[1] พิฆาตสี่เก่า(破四旧)เป็นการรณรงค์ตามแนวคิดของเหมาเจ๋อตงเพื่อกำจัด “สี่เก่า” อันประกอบด้วย อุดมคติ, จารีต, วัฒนธรรม และสันดาน ที่ถูกอ้างว่าเป็นของพวกระบอบเก่า ด้วยวิธีการอันรุนแรงต่อกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้าม ทั้งการใช้กำลังหมายเอาชีวิต การเหยียดหยามต่อสาธารณะ การทำลายโบราณสถานและวัตถุทางวัฒนธรรม