ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 99 :เจียงเสี่ยวไป๋ต้องทนการถูกดุด่า
ตอนที่ 99 :เจียงเสี่ยวไป๋ต้องทนการถูกดุด่า
จวงปี้เฉิงกำลังสั่งให้คนงานสร้างที่พักและโรงเก็บของชั่วคราว
เขาต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 เดือนในการสร้างบ้านให้เจียงเสี่ยวไป๋ ขนาดทหารม้าจะออกศึกยังต้องส่งเสบียงและหญ้าไปก่อน ดังนั้นก่อนเริ่มงาน พวกเขาต้องมีที่ซุกหัวนอนของคนงานก่อน
ไม่นาน พื้นที่รกร้างข้างถนนลูกรังที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ก็ถูกถางจนราบเรียบ
เขาขอให้คนงานตัดไม้มามุงจาก ตั้งท่อนซุงสี่ท่อนให้สูงมากกว่าสองเมตรมาทำเป็นเสา แล้วมัดท่อนในแนวนอนเป็นคานด้านบน คลุมด้วยผ้าใบกันน้ำ ล้อมด้วยผ้าใบกันน้ำหรือเสื่อฟางและผ้าม่านตามลำดับ หลังจากนั้น โรงเก็บของและที่พักของคนงานอย่างง่าย ๆ ก็ถูกสร้างขึ้น
ส่วนข้าวของเครื่องใช้ของพวกเขาไม่ได้มีอะไรมาก
แค่ใช้หินสี่ก้อนมาวางที่พื้น เอาแผ่นไม้กระดานมาวางพาดไปมา ก็จะได้เป็นเตียงนอนที่ใช้เวลาทำไม่นาน
คนงานในยุคนี้ทนต่อความความลำบากได้เป็นอย่างดี ขอแค่มีที่หลบลมฝน มีที่นอนหลับหลังเลิกงานก็เพียงพอแล้ว พวกเขาไม่ได้สนใจความสะดวกสบายใด ๆ ทั้งสิ้น
“ช่างจวง ผมไม่คิดว่าคุณจะมาเร็วขนาดนี้”
เจียงเสี่ยวไป๋เดินเข้ามาหาจวงปี้เฉิงและกล่าวอย่างเกรงใจ
จวงปี้เฉิงหัวเราะ “ถ้าเป็นเรื่องของเถ้าแก่เจียง ผมไม่กล้าใจเย็นหรอก”
คนงานรอบข้างที่กำลังสร้างเพิงได้ยินแบบนั้นก็มองมาที่พวกเขาทั้งสอง
“ที่แท้นี่ก็คือเถ้าแก่ที่จ้างเรามาสร้างบ้านให้เขา”
“ยังหนุ่มอยู่เลย”
“รวยจริง ๆ ”
“จะไม่ใช่ได้อย่างไร ? นายไม่เห็นหรือว่าเขาขี่มอเตอร์ไซค์พ่วงข้างมาน่ะ”
“ฉันได้ยินมาว่าพี่จวงเคยรับงานปรับปรุงร้านอาหารของเขาในเมืองก่อนหน้านี้ ผู้ชายคนนี่น่าจะค่อนข้างใจกว้างไม่เบา”
“เรื่องนั้นคงไม่จำเป็นต้องพูดถึง ไม่อย่างพี่จวงคงไม่รับงานไกลขนาดนี้หรอก”
“……”
เมื่อเห็นว่าเจียงเสี่ยวไป๋ยังหนุ่มมาก คนงานจึงแอบพูดคุยกันเกี่ยวกับเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เจียงเสี่ยวไป๋มองดูเพิงงานหลายหลังที่ถูกสร้างขึ้นแล้ว ภายในมีเตียงไม้กระดาน 3 เตียง เตียง 2 เตียงปูด้วยเสื่อและผ้านวม มีผ้าห่มวางอยู่ด้านบน เตียงอีกเตียงใช้เป็นที่วางของ ซึ่งวางถุงใส่เสื้อผ้าที่เอามาเปลี่ยน
มีอ่างพลาสติกเปล่าหลายใบอยู่บนพื้น และเครื่องมือบางอย่าง เช่น ชะแลงเหล็ก ค้อนขนาดใหญ่ ค้อน กระบอง ไม้พาย และเชือก
ดูเหมือนว่าของใช้ในชีวิตประจำวันแทบไม่มีเลย
เจียงเสี่ยวไป๋อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ช่างจวง แบบนี้พวกเขาไม่ใช้ชีวิตลำบากกันหรือ ? ”
จวงปี้เฉิงโบกมือแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรต้องกังวล เดี๋ยวมันก็ผ่านไป”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เขาทำได้เพียงแต่ถามไถ่เท่านั้น เพราะเขาเองก็ตัดสินใจแทนใครไม่ได้ หรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย
อย่างมากที่สุด เขาก็ช่วยได้แค่จัดหาสิ่งของที่จำเป็นในชีวิตประจำวันให้กับคนงานเหล่านี้ และจัดการเรื่องอาหารให้กับพวกเขา
นึกถึงอาหาร เจียงเสี่ยวไป๋ก็ได้ถามขึ้นมาว่า “พูดถึงเรื่องอาหารการกิน พวกคุณได้คิดไว้หรือยัง”
จวงปี้เฉิงกล่าวว่า “ภรรยาของผมและภรรยาของเหล่าหวังจะรับหน้าที่ทำอาหาร ที่จริงที่นี่ไม่ไกลจากอำเภอชิงซาน เราออกไปซื้อของมาทำอาหารเองได้”
งานในสถานที่ก่อสร้าง ไม่ได้มีเพียงแค่ผู้ชายเท่านั้น ส่วนใหญ่งานเล็ก ๆ บางอย่าง ผู้หญิงก็มักจะรับหน้าที่ในการจัดการดูแล และทีมงานของจวงปี้เฉิงก็มีผู้หญิงมากถึง 10 คน
เจียงเสี่ยวไป๋ได้ยินว่าภรรยาของจวงปี้เฉิงก็อยู่ที่ไซต์งานก่อสร้างด้วย เขาจึงพูดว่า “ในเมื่อภรรยาของคุณอยู่ที่นี่ด้วย งั้นผมก็อยากจะเชิญคุณและภรรยามากินอาหารเย็นที่บ้านของผมในคืนนี้”
เขามองไปรอบ ๆ ทีมงานของจวงปี้เฉิงมีคนงานประมาณ 40 กว่าคน จากนั้นก็กล่าวขอโทษออกมา “แต่ทีมงานที่เหลือ ผมต้องขอโทษด้วย จำนวนคนมันเยอะเกิน บ้านของผมไม่กว้างพอที่จะรองรับทุกคน ต้องขออภัยจริง ๆ ที่ไม่ได้ชวนครบทุกคน”
จวงปี้เฉิงกล่าวว่า “ช่างเถอะ แค่นี้ผมก็ซาบซึ้งในความเมตตาของคุณมากแล้ว ผมว่าจะกินข้าวมื้อแรกกับคนงานไปก่อน”
เจียงเสี่ยวไป๋คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ จากนั้นก็ไม่เซ้าซี้อะไรอีก
หลังจากคุยกับจวงปี้เฉิงอีกสองสามคำ เขาก็จากไป
ทันทีที่เขามาถึงลานบ้าน เจียงเสี่ยวไป๋ก็รู้สึกงงงวยเล็กน้อยเมื่อเห็นหลินเจียอินแอบขยิบตาให้เขา
ก่อนที่เขาจะทันได้ตอบสนอง เขาก็เห็นเจียงไห่หยางเดินออกมาจากในบ้าน
“ไอ้ลูกไม่รักดี แกคิดจะทำอะไรหา ? ”
“การจะสร้างบ้านสักหลังนั้นไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ แต่แกไม่พูดอะไรกับฉันสักคำ”
“แต่กลับไปขอคำปรึกษาจากคนนอก ไม่เห็นหัวฉันเลยหรือ ! ”
คำพูดดุด่าของผู้เป็นพ่อทำให้เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกผิดจนไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี และที่สำคัญคือเขาไม่สามารถโต้ตอบอะไรได้เลย
เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องอดทนเงียบ ๆ และแอบทำหน้าเศร้าใส่หลินเจียอิน
หลินเจียอินเองก็ได้แต่กลอกตาของเธอ
‘ฉันเตือนคุณแล้ว ถ้าคุณไม่รีบหนี ฉันเองก็ช่วยอะไรไม่ได้เหมือนกัน’
‘นอกจากนี้ คุณเองก็สมควรที่จะโดนแบบนี้ถูกแล้ว’
‘เพราะคุณไม่เคยคิดจะปรึกษาใคร คุณตัดสินใจเองทั้งนั้น แม้แต่ครอบครัวของคุณ คุณเองยังมองข้าม’
‘ตอนนี้ก็แค่ปล่อยให้พ่อดุด่าคุณไปก็ดีแล้ว’
‘มิฉะนั้น มันจะยิ่งแย่ในอนาคต’
เมื่อเห็นการแสดงออกของภรรยา ก็ทำให้ใบหน้าของเจียงเสี่ยวไป๋ขมขื่นมากยิ่งขึ้น เขาไม่กล้าพูดอะไรสักคำจนกว่าเจียงไห่หยางจะดุด่าว่ากล่าวเขาจนพอใจ และสงบสติอารมณ์ลงได้
เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่สามารถแก้ตัวได้
เขาไม่สามารถบอกใครได้ว่าเขากลับมาเกิดใหม่และเขารู้ว่าในอนาคตเมืองชิงโจวจะขยายตัว เจียงวานจะกลายเป็นเขตปกครองของเมืองนี้ ส่วนแม่น้ำชิงเจียงก็จะกลายเป็นพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในอนาคตเขาก็จะสร้างบ้านริมแม่น้ำอย่างที่ต้องการไม่ได้อีก
ดังนั้น เขาจึงไม่อยากปรึกษาใครให้มากความ เพราะเขาอยากลงมือสร้างบ้านริมแม่น้ำให้เร็วที่สุดโดยที่ไม่ต้องมีใครมาขัดขวาง
“ชัดเจน ฉันคิดว่าแกคงไม่อยากอยู่กับฉันแล้วสินะ”
เจียงไห่หยางเสียอารมณ์อีกครั้ง
เจียงเสี่ยวไป๋ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตระหนักได้ในทันที
กลายเป็นว่าสาเหตุที่พ่ออารมณ์เสียก็เพราะไม่อยากให้เขาไปสร้างบ้านอยู่ไกลจากพ่อแม่เกินไปนี่เอง
เขาได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่นและพูดอะไรไม่ออกอีกครั้ง
ในแผนการสร้างบ้านครั้งนี้ของเขา เขาจะสร้างลานที่มีทางเชื่อมสามทางด้านหน้า และจะสร้างห้องแถวที่ทางเข้าถ้ำ ในเวลานั้นที่พักก็คงเพียงพอหากเขาจะให้พ่อแม่ย้ายไปอยู่ด้วยกัน
แค่มันไม่สะดวกที่จะพูดตอนนี้ มิฉะนั้นหากเจียงไห่หยางรู้ว่าเขาเอาเงินไปสร้างบ้านมากมายขนาดนี้ เขาก็อาจจะโดนตำหนิอีกครั้ง
เขาได้แต่ส่ายหัว การจะทำให้คนรุ่นพ่อรุ่นแม่เข้าใจนั้นไม่ง่ายเลยจริง ๆ
ตอนนี้ก็แค่โดนทำโทษเท่านั้น เพราะถ้าขืนพูดมันออกมา แผนการทั้งหมดก็อาจจะถูกขัดขวาง
พูดง่าย ๆ ก็คือหลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วค่อยบอก
ถึงตอนนั้นหากพวกเขาเห็นบ้านที่เขาตั้งใจสร้างขึ้นมา เขาไม่เชื่อหรอกว่าพ่อแม่จะไม่ยอมย้ายมาอยู่
“พ่อครับ พอก่อนเถอะ ผมหิวแล้ว ผมจะไปหาอะไรกิน”
เจียงเสี่ยวไป๋รีบหาข้อแก้ตัว และวิ่งไปที่หน้าเตาราวกับกำลังหลบหนี
“กิน กิน กิน ในหัวก็คงคิดแต่เรื่องกิน ไม่คิดอะไรแล้วมั้ง”
แม้ว่าเขาจะซ่อนตัวอยู่ในครัว แต่เจียงไห่หยางที่อยู่ด้านนอกก็ยังบ่นใส่เขาไม่หยุด
เจียงเสี่ยวไป๋จึงได้แต่จำใจทำอาหารไปด้วยความอัดอั้น
เมื่อนึกถึงชาติที่แล้ว พ่อแม่ของเขาไม่ได้สนใจเขาอีกหลังจากที่ภรรยาและลูกสาวของเขาตายไป ราวกับว่าพวกเขาไม่มีลูกชายคนนี้ แต่ในชีวิตนี้ การที่เขาจะสร้างบ้านใหม่ซึ่งอยู่ไกลจากบ้านพ่อแม่เล็กน้อย แต่เจียงไห่หยางกลับไม่พอใจและไม่อยากให้ย้ายไป เขาจึงแอบยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
มันทำให้เขารู้สึกถึงความเป็นครอบครัว ที่ในชาติที่แล้วเขาไม่ได้สัมผัสมัน
หลินเจียอินที่เดินเข้ามาในครัวได้เห็นรอยยิ้มของเจียงเสี่ยวไป๋ เธอจึงอดที่จะตำหนิไม่ได้ “ถูกบ่นแล้วยังยิ้มได้อีก”
“ด่าเพราะรัก ตีเพราะเป็นห่วง”
“การที่ชายชรามาดุด่าแบบนี้เป็นเพราะอะไร คุณน่าจะรู้ใช่ไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลินเจียอินได้แต่กลอกตาไปมา เธออดคิดไม่ได้จริง ๆ ในเมื่อชายคนนี้ได้เปลี่ยนนิสัยไปในทางที่ดีขึ้น แต่ทำไมเขาถึงยังไร้ยางอายอยู่เช่นนี้กันนะ
บางครั้งเธอก็สงสัยว่าเจียงเสี่ยวไป๋ถูกผีสิงหรือไม่
มันเหมือนคนละคนเลยจริง ๆ
รูปลักษณ์ที่มีเสน่ห์และขี้งอนของหลินเจียอินเหมือนกับดอกบัวอันบอบบางที่ไหวไปตามสายลมเย็น ๆ ทำให้เจียงเสี่ยวไป๋ตกตะลึงไปชั่วขณะ
“คุณยังจ้องอยู่อีกหรือ ? รีบไปเตรียมอาหารเย็นสิ มันเย็นมากแล้ว”
หลินเจียอินสังเกตเห็นว่าเจียงเสี่ยวไป๋กำลังมองมาที่เธอด้วยความสงสัย จึงอดไม่ได้ที่จะพูดด้วยความโกรธ หลังจากพูดจบ เธอก็รีบไปที่หน้าเตาและเติมฟืนสองสามท่อนเข้าไป
“อ้อ ๆ ”
เจียงเสี่ยวไป๋กลับมามีสติอีกครั้ง และรีบหันกลับไปสนใจการทำอาหารต่อ
ท่าเวลาภรรยาโน้มตัวลงไปเติมฟืนให้
มันช่างสวยงามจริง ๆ