ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - ตอนที่ 1439 ขัดขวาง
ตอนที่ 1439 ขัดขวาง
เจียงจื่อหยวนยังไม่เข้าใจ
หลายปีก่อน พระราชวังเมฆาสวรรค์ประสบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ทำให้ทั้งยุทธภพสั่นคลอน
หรงซิวกลับมาพร้อมพลังอันยิ่งใหญ่ และบารมีอันสูงส่ง
แม้ว่าตอนนี้ท่านประมุขจะออกจากด่านฝึกแล้ว แต่ก็มิได้มีอำนาจบาตรใหญ่เหมือนเมื่อก่อน
ปัจจุบันหรงซิวคือผู้ทรงอิทธิพลสูงสุด และทรงพลังที่สุดในสถานที่แห่งนี้!
ซั่งกวนเยว่คือชายาที่เขาเลือกด้วยตัวเอง ถึงคนพวกนี้จะ…ไม่ไว้หน้าพระสงฆ์ ก็ต้องไว้หน้าพระพุทธเจ้า[1] บ้างมิใช่หรือ?
ไหนจะพรสวรรค์อันน่าทึ่งของซั่งกวนเยว่อีก
ตอนนี้นางสับสนงงงวยไปหมด จนไม่รู้จะแย้งพวกเขาอย่างใด
ไป๋หลีฉุนมองดูเหตุการณ์ตรงหน้า พลางคิดทบทวนซ้ำๆ
หลังจากตระหนักได้ เขาก็ยิ่งกัดฟันกรอดอย่างหงุดหงิดใจ
ก่อนจะเข้าด่าน ใช่ว่าเขาจะไม่เคยนึกถึงปัญหาเหล่านี้
แต่ตอนนั้นหรงซิวยังเด็กแลไร้เดียงสา เขาจึงไม่ได้เก็บเรื่องพรรค์นี้มาใส่ใจ ใครจะรู้ว่าไม่กี่ปีต่อมา ทุกอย่างจะกลับตาลปัตรเพียงนี้!
ชื่อเสียงแลเกียรติยศที่มลายหายไปนั้น คิดว่าจะกู้คืนมาได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ?
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ไป๋หลีฉุนก็สูดหายใจเข้าลึกๆ และพูดว่า
“สุดท้ายแล้ว หยวนหยวนก็ยังเป็นคุณหนูลำดับหนึ่งของเผ่าเซียนสุ่ยหลิง หากประสบปัญหา พระราชวังเมฆาสวรรค์ของเราจักนิ่งเฉยได้อย่างใด? อย่างใดเสียนางก็อยู่ที่นี่แล้ว จะถกเถียงเรื่องเหล่านี้ให้ได้อันใดอีก?”
หลายคนสบตากันท่ามกลางความเงียบ พลางทำสีหน้าคลุมเคลือราวมีเลศนัย
เห่อ…เห่อ
ก็ยังปกป้องนางอยู่อีก!
ไม่รู้ว่าเจียงจื่อหยวนนั้นโชคดีหรือกระไร ไยท่านประมุขถึงได้โอบอุ้มประคบประหงมนางถึงเพียงนี้…
แต่ถ้าเจียงจื่อหยวนยังคงพูดกลับกลอกอยู่แบบนี้ แม้แต่พระราชวังเมฆาสวรรค์เองก็คงปกป้องนางไม่ได้!
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกคร้านเกินกว่าจะคุยเรื่องของเจียงจื่อหยวนกับเขา
“ในเมื่อท่านประมุขยืนกรานเช่นนั้น ข้าก็จะจบเรื่องนี้ไว้เท่านี้ แล้วรอกระทั่งพระโอรสกลับมา ค่อยหารือกันใหม่”
ด้วยอุปนิสัยของหรงซิว เขาไม่ทางปล่อยเจียงจื่อหยวนไปง่ายๆ แน่นอน
ไป๋หลีฉุนกำลังจะอ้าปากแย้ง แต่ก็จำต้องกลืนคำพูดเหล่านั้นกลับลงคอไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง โทสะในใจเขาค่อยๆ สงบ ก่อนจะลุกพรวดขึ้น
“ในเมื่อพระชายายุ่งมาก เช่นนั้นข้าจะไปพบนางเอง!”
ร่องรอยความตึงเครียดพลันผุดขึ้นมาในดวงตาของผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหก!
เขาเองก็หยัดกายขึ้นยืน พลางเดินไปขวางหน้าไป๋หลีฉุนอย่างใจเย็น ริมฝีปากยิ้มบางเบาราวไม่ยิ้ม และกล่าวว่า
“ท่านประมุข ข้าเกรงว่ามัน…จะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าใด? ท่านเป็นผู้ใหญ่ นางเป็นผู้น้อย อย่างใดนางก็ควรเป็นผู้ไปพบท่าน ถึงจะเหมาะจะควร หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป…คนเขาจะลือกันว่าชายาแห่งพระราชวังเมฆาสวรรค์ไร้มารยาทเอาได้นะขอรับ?”
และพอถึงตอนนั้น ก็จะมีเสียงซุบซิบนินทาดังเซ็งแซ่ขึ้นมาอีกระลอก!
อีกอย่าง…ต่อให้เข้าไปในตำหนักศักดิ์สิทธิ์ตอนนี้ ก็ไม่เห็นอันใดหรอก!
ไป๋หลีฉุนชะงักฝีเท้า พลางหันมามองเขาอย่างสงสัยระคนลังเล
ทันใดนั้นเขาก็นึกสงสัยว่าผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกเอาแต่ยื้อเขา ไม่อยากให้เขาไปที่ตำหนักศักดิ์สิทธิ์ และไม่อยากให้เขาไปพบกับพระชายาคนใหม่ผู้นั้น
หรือเรื่องนี้จะมีลับลมคมในบางอย่าง?
เจียงจื่อหยวนหยุดร้องไห้ พลางลุกขึ้นยืนแล้วปาดน้ำตา ก่อนจะเดินไปหาไป๋หลีฉุนด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ
“…ท่านปู่ฉุนเจ้าคะ วันนี้ท่านเพิ่งออกด่านมา คงมีราชกิจรออยู่อีกมากมาย เช่นนั้นเรื่องนี้ก็เอาไว้ก่อนเถิดเจ้าค่ะ…”
นางหยุดพูดอยู่ครู่หนึ่ง
“ตั้งแต่ได้ตำแหน่งพระชายา นางก็อยู่แต่ในตำหนักศักดิ์สิทธิ์ ไม่เคยออกมาพบปะผู้คนเลยสักครั้ง ข้าว่านางอาจจะยุ่งอยู่กับการฝึกตนและทะลวงพลังปราณก็เป็นได้นะเจ้าคะ?”
ต่อให้ฝึกหนักแค่ไหน ก็ไม่ควรทำเช่นนี้!
แค่ออกมาพบปะผู้คนสักนิด ก็ยังทำไม่ได้หรือ!
ไป๋หลีฉุนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ พลันกระแทกเสียงอย่างเดือดดาล
“หยวนหยวน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้าไม่ต้องยุ่ง! ข้าล่ะอยากเห็นนัก ว่าชายาเอกคนนี้…จะเล่นตัวได้อีกนานแค่ไหนเชียว!”
เขากล่าวพลันสะบัดแขนเสื้อ แล้วเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว!
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกเหนื่อยจะรั้ง เขาผงะไปแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินตามอีกฝ่ายไปในทันที
หลายคนที่อยู่ด้านหลังเขา ต่างลงความเห็นกันไปต่างๆ นาๆ และสาวเท้าตามคนทั้งสองไปอย่างเงียบเชียบ!
…
หลังจากออกมาจากตำหนักศักดิ์สิทธิ์ ไป๋หลีฉุนก็เงยหน้ามองด้านบน
บนยอดเขาซู่หมิง ตำหนักสักการะเทพอันสวยงามตั้งตระหง่านอย่างสง่าผ่าเผย
รอบด้านมีค่ายกลอันแข็งแกร่งห่อหุ้มไว้ จากตรงนี้ พวกเขามองเห็นเพียงหมอกสีขาวที่ลอยปกคลุมยอดเขาแห่งนั้น หากแต่มองไม่เห็นทิวทัศน์ภายในเลยแม้แต่น้อย
เจียงจื่อหยวนยืนอยู่ข้างหลังเขา นางตวัดสายตามองตำหนักด้านบน พลางแอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเบาๆ
เมื่อก่อนนางสามารถเข้าออกตำหนักสักการะเทพได้ตามต้องการ
แต่ปัจจุบัน นางกลับตกอยู่ในสภาพเช่นนี้…
ไป๋หลีฉุนบินขึ้นไปโดยไม่พูดอันใดสักคำ!
หัวใจของผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหก รู้สึกราวถูกบางอย่างบีบเค้นไว้แน่น!
ไป๋หลีฉุนคือประมุขของตระกูล
แม้ยามนี้เขาจะไร้ซึ่งอำนาจ แต่หากในฐานะของผู้ปกครอง เขายังมีสถานะสูงสุดในพระราชวังเมฆาสวรรค์
และมีสิทธิเข้าตำหนักสักการะเทพได้ตามอัธยาศัย!
ถ้าเขาจับได้ว่าในตำหนักไม่มีคนที่ตามหาอยู่ล่ะก็ เช่นนั้น…
ช่วงเวลาที่เขาพยายามทำไปทั้งหมด ก็เปล่าประโยชน์น่ะสิ!
แต่ถ้าเขายกเรื่องฝึกตนขึ้นมาอ้างอีกครั้ง ก็ดูจะชัดเจนเกินไป และรับประกันไม่ได้ว่ามันจะได้ผล…
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกกลั้นลมหายใจ พลางมองขึ้นไปข้างบน
ไป๋หลีฉุนเร็วมาก
เพียงไม่กี่อึดใจ เขาก็บินขึ้นมาถึงด้านหน้าค่ายกลของตำหนักสักการะเทพแล้ว
นายทหารในชุดเกราะหนักหลายคนหันมามอง และทำความเคารพเขา
“คารวะท่านประมุข!”
ไป๋หลีฉุนพยักหน้ารับ เขารู้ว่าคนพวกนี้คือทหารคนสนิทของหรงซิว ไม่มีทางที่พวกเขาจะยอมเปิดค่ายกลง่ายๆ แน่นอน
“พระชายาอยู่หรือไม่? ข้าต้องการพบนาง”
แค่นี้ก็ถือว่าให้เกียรติมากแล้ว!
ทว่าเหล่าผู้มียศถาบรรดาศักดิ์แลห่วงเรื่องภาพลักษณ์อย่างเขา ย่อมรู้สึกอับอายขายขี้หน้าอย่างมาก!
และขณะเดียวกัน ก็มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นจากทางด้านหลัง
“ท่านประมุขมาเยือนถึงที่ แต่เหล่าข้ากลับมิอาจต้อนรับได้จากระยะไกล หวังว่าท่านประมุขจักให้อภัยขอรับ!”
อวี๋มั่วคารวะเขาด้วยความเคารพ ใบหน้าหล่อเหลาระบายยิ้มบางเบา
ไป๋หลีฉุนขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่พอใจ แต่เขาก็รู้ว่าคนของตำหนักสักการะเทพเหล่านี้ มิได้ใส่ใจเรื่องอื่นนอกจากเรื่องกิจวัตรในตำหนัก เขาจึงไม่อาจฉุนเฉียวใส่อีกฝ่ายได้
“พระชายาเล่า? นี่นางยังเข้าด่านฝึกอยู่อีกหรือ?”
อวี๋มั่วหัวเราะเบาๆ
“ท่านประมุขทรงปรีชาญาณนัก! ยามนี้พระชายากำลังทะลวงขอบเขตพลังปราณอยู่จริงๆ ขอรับ เกรงว่าคงไม่สะดวก…”
ไป๋หลีฉุนคิดไว้แล้วว่าอีกฝ่ายจักตอบเช่นนี้ พลันยกเท้าขึ้นเตรียมก้าวเข้าไปข้างใน
“เช่นนั้นข้าจะรออยู่ที่นี่! นางว่างเมื่อใด ก็ให้ออกมาพบข้าเมื่อนั้น!”
รอยยิ้มบนใบหน้าของอวี๋มั่วพลันแข็งทื่อ
นี่เขา…
กรรร์!
เสียงคำรามของสิงโตดังก้องไปทั่วธรณีแลเวหา พร้อมลมปราณอันเย็นยะเยือกที่แผ่ซานออกมา!
ครู่ต่อมา ร่างสีขาวอันแข็งแกร่งก็กระโจนขึ้นกลางอากาศ!
ร่างเงานั้นเปล่งแสงเรืองรองสองสามครา พลันแวบมาโผล่ตรงหน้าไป๋หลีฉุน!
มันคือเสวี่ยเสวี่ย!
มันยืนอยู่ข้างหน้าค่ายกลและเผชิญหน้ากับไป๋หลีฉุนโดยตรง นัยน์ตาสีฟ้าน้ำแข็งฉายแววเย็นชาและไม่แยแส!
กรรร์…
มันเปล่งเสียงคำรามไปทั่วท้องนภา!
แรงกดดันมหาศาลพวยพุ่งออกมา!
ไป๋หลีฉุนหน้าถอดสีทันที
เจ้าสัตว์เดรัจฉานนี่ ไม่ยอมให้เขาเข้าไปอย่างนั้นหรือ!?
[1] ไม่ไว้หน้าพระสงฆ์ ก็ต้องไว้หน้าพระพุทธเจ้า เป็นถ้อยคำที่ใช้ขอร้องผู้อื่นให้ผ่อนปรนเป็นพิเศษ โดยเห็นแก่หน้าผู้หลักผู้ใหญ่ หรือผู้ที่มียศศักดิ์ใหญ่โตกว่า