ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - ตอนที่ 2922: จิตวิญญาณปราชญ์ (2) "ข้าไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องนั้น แต่ข้าได้เรียนรู้เล็กน้อยเกี่ยวกับประวัติของจิตวิญญาณปราชญ์จากบันทึกของผู้อาวุโสลมที่ให้ข้าไว้ ว่ากันว่าโลกจิตวิญญาณแตกสลายในอดีตและโลกท ทั้งใบก็ไม่อาจอยู่ได้ เผ่าพันธุ์มากมายที่อยู่ในโลกจิตวิญญาณแต่เดิมก็ถูกบังคับให้ออกจากบ้านและอพยพไปยังโลกเซียน..." "ปีที่พวกเขาเข้าสู่โลกเซียนครั้งแรก มีการทดสอบมากมายสำหรับทุกเผ่าพันธุ์ของโลกจิตวิญญาณ เนื่องจากพลังดั้งเดิมของโลกจิตวิญญาณและโลกเซียนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เมื่อเราเข้าสู โลกเซียนครั้งแรกไม่เพียงแต่เราไม่อาจดูดซับพลังดั้งเดิมเพื่อบ่มเพาะได้เท่านั้น แต่เรายังต้องเผชิญกับการปฏิเสธและการกดขี่ของหลาย ๆ องค์กรที่มีถิ่นกำเนิดในโลกเซียน...." "นั่นเป็นส่วนที่ยากและมืดหม่นที่สุดในประวัติศาสตร์ของทุกผ่าพันธุ์ที่รอดชีวิตจากโลกจิตวิญญาณ ในช่วงเวลานั้นเองที่จิตวิญญาณปราชญ์ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ในการต่อสู้กับ องค์กรต่าง ๆ ของโลกเซียน กองทัพของเราตกเป็นเป้าใหญ่ สมบัติมากมายของเราก็ถูกขโมยไปด้วย...." "ความกดดันในการเอาชีวิตรอดบังคับให้เผ่าที่เหลือทั้งหมดของโลกจิตวิญญาณต้องรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวซึ่งได้กลายเป็นจิตวิญญาณปราชญ์ในภายหลัง หลังจากการรวบรวมกองกำลังของพวกเขาแล้ว ว ท้ายที่สุดจิตวิญญาณปราชญ์ก็มีส่วนร่วมในโลกเซียนหลังจากที่จ่ายค่าตอบแทนออกไปอย่างมาก" "อย่างไรก็ตามหลังจากรวมตัวกันแล้ว ความขัดแย้งภายในก็ค่อย ๆ ปะทุขึ้นในหมู่จิตวิญญาณปราชญ์โดยที่พวกเขาไม่ต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันจากภายนอกเลย ท้ายที่สุดมีเผ่ามากมายในจิตวิญญาณป ปราชญ์ ในโลกจิตวิญญาณของพวกเขา พวกเขาควบคุมและปกครองทั้งหมดของทั้งภูมิภาค ดังนั้นมันจึงสงบสุขอย่างเห็นได้ชัด เมื่อองค์กรเหล่านี้ทั้งหมดถูกบังคับให้รวมตัวกัน ความขัดแย้งต่าง ๆ ก็ผุดขึ้นมาอย่างไม่มีสิ้นสุด" "ด้วยเหตุนี้ ความขัดแย้งภายในระหว่างจิตวิญญาณปราชญ์จึงประทุขึ้นหลายครั้งในอดีต ด้วยความขัดแย้งภายในแต่ละเผ่าแต่ละกลุ่ม พวกเขาจึงซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งในโลกเซียนหรือออกจากโ โลกเซียนและซ่อนตัวอยู่ในโลกขนาดเล็กบางแห่ง โดยเลือกที่จะอาศัยอยู่ในโลกขนาดเล็กเพียงลำพัง" "จิตวิญญาณไม้เคยมีประสบการณ์การกระจัดกระจายในอดีต" "ตามบันทึกโบราณ จิตวิญญาณไม้แบ่งออกเป็น 3 องค์กรในระหว่างการล่มสลาย แต่ละองค์กรของทั้งสามต่างก็มีส่วมร่วมกับสมบัติของจอมปราชญ์สูงสุดแห่งจิตวิญญาณไม้ที่ทิ้งไว้เบื้องหลังก่อ อนที่จะเดินไปตามทางของตัวเอง องค์กรที่สองได้รับวัตถุเทพขอบเขตชีวิตของจอมปราชญ์สูงสุดแห่งจิตวิญญาณไม้ 2 ชิ้น ส่วนองค์กรที่สามได้รับวิถีการบ่มเพาะของจอมปราชญ์แห่งจิตวิญญาณไม ม้...." "กิ่งทั้งสองที่จิตวิญญาณไม้ทิ้งไว้ได้กลายเป็นวัตถุเทพขอบเขตชีวิตก่อนที่จะเงียบหายไป จิตวิญญาณไม้ที่มีวิถีการบ่มเพาะยังคงอยู่ในจิตวิญญาณปราชญ์ก็ค่อย ๆ ลดลงจากความรุ่งเรืองสูง งสุดที่ในตอนนั้น...." ขณะที่เขาพูด เฉินเจี้ยนก็ถอนหายใจและมองขึ้นฟ้า เขาพูดต่อว่า"ชิ้นส่วนที่แตกสลายไม่จำกัดอยู่ที่จิตวิญญาณไม้ มันเกิดขึ้นท่ามกลางเผ่าพันธุ์อื่น ๆ เช่นกันและสมบัติต่าง ๆ ที่ตกทอด ดของโลกจิตวิญญาณรุ่นก่อน ๆ ของเราก็กระจายออกมาพร้อมกับพวกเขา ทำให้จิตวิญญาณปราชญ์ที่แข็งแกร่งในอดีตจางหายไป แต่เดิมที่เป็นตัวตนที่ครอบครองพลังของโลกทั้งหมดก็กลายเป็นอดีต เมื่อเวลาผ่านไป" "และพวกเขาปฏิเสธพวกจิตวิญญาณปราชญ์ที่เผชิญหน้ากับความพ่ายแพ้จากโลกเซียนครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นกัน" เมื่อถึงตอนนี้ เฉินเจี้ยนมองไปที่เจี้ยนเฉินอย่างลึกซึ้งและพูดว่า "ภัยพิบัติที่ จิตวิญญาณปราชญ์เผชิญหน้าล่าสุดมาจากพรรคกระดูกโอฬาร ในตอนนั้นพรรคกระดูกโอฬารได้สังหารพวกเขาเข้ามาในกลุ่มของเรา ไม่เพียงแต่ทำให้เราสูญเสียครั้งใหญ่ แต่ยังปล้นสมบัติมากมาย หากจิตวิญญาณไม้ไม่ได้รับการปกป้องจากพลังของวัตถุบรรพชนในช่วงเวลาสำคัญ ผลที่ตามมาก็ไม่อาจคาดถึงได้" เจี้ยนเฉินจมอยู่ในความคิดของเขา เขาถามว่า "พูดอีกอย่างก็คือ เผ่าเซียนที่ถูกทอดทิ้งของเจ้ามาจากโลกชั้นต่ำนั้นกลายเป็นกลุ่มที่แยกตัวเองออกมาจากจิตวิญญาณปราชญ์ด้วยหรือ ? " เฉินเจี้ยนลังเลเล็กน้อย "ตามบันทึกโบราณที่เกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ของเรา เราบอกเสมอว่าตัวของพวกเรานั้นเผ่าของเราคือเผ่าเซียนที่ทอดถูกทิ้ง หลังจากที่ข้าได้พบกับผู้อาวุโสลม ข้าได้รู้ว่าเผ่าเซียนที่ถูกทอดทิ้งในโลกที่ต่ำกว่านั้นเป็นหนึ่งในเผ่าขนาดใหญ่ของโลกจิตวิญญาณ นั้นก็คือเผ่ากระบี่จรัส" "เผ่ากระบี่จรัส ? " เจี้ยนเฉินตกใจ เขาเป็นคนที่อ่านบันทึกมามาย โดยส่วนตัวเขาเชื่อว่าแม้ว่าจะไม่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับโลกเซียน แต่เขาก็รู้เรื่องต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเผ่ากระบี่จรัสมาก่อน "อย่างไรก็ตาม ผู้อาวุโสลมยังบอกข้าอีกว่าจิตวิญญาณปราชญ์ของโลกเซียนไม่มีเผ่ากระบี่จรัสอีกต่อไป เผ่ากระบี่จรัสในโลกเซียนสาบสูญไปหมดแล้ว สาขาของพรรคพวกของข้าในโลกด้านล่างน น่าจะเป็นสาขาสุดท้ายที่มีอยู่ ยิ่งไปว่านั้นเนื่องจากการให้กำเนิดมาหลายปี สาขาสายเลือดของพวกข้าจึงไม่บริสุทธิ์มาตั้งนานแล้ว...." "บรรพชนเผ่าเซียนที่ถูกทอดทิ้งของเรามีชื่อว่าเหอตู่ ข้าบอกผู้อาวุโสลมเกี่ยวกับบรรพชนเหอตู่ แต่ผู้อาวุโสลมไม่รู้จักเขา เขาเลยคิดว่าบรรพชนเหอตู่น่าจะไม่ใช่คนในยุคเดียว วกับเขา ผู้อาวุโสลมไม่ได้เกิดมาในช่วงที่เขามีชีวิตอยู่ บรรพชนเหอตู่ได้ทิ้งข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับจิตวิญญาณปราชญ์ให้เรา แต่ตอนนี้มันล้าสมัยไปแล้ว...." ขณะที่เฉินเจี้ยนกำลังคิด เจี้ยนเฉินก็ได้เข้าใจคร่าว ๆ เกี่ยวกับประวัติศาตร์และสถานการณ์ปัจจุบันของจิตวิญญาณปราชญ์ อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาสนใจจริง ๆ คือมรดกจำนวนมากและสมบัติล้ำ ค่าที่กระจายออกมาจากจิตวิญญาณปราชญ์ในช่วงหลายปีก่อนหน้านี้ ท้ายที่สุดก่อนที่โลกจิตวิญญาณจะแตก มันเคยกลายเป็นโลกที่สมบูรณ์มาก่อนและมีความสำคัญเทียบเท่ากับโลกเซียนที่มีคนรู้ไม่กี่คน ใครจะรู้ว่าพวกเขาสร้างผู้เชี่ยวชาญระดับสูงในโลกเห หล่านั้นมากี่คน หลังจากนั้น สมบัติที่เหลืออยู่ทั้งหมดได้เข้าสู่โลกเซียนพร้อมกับโลกจิตวิญญาณที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ เขารู้ว่าพวกเขานั้นมั่งคั่งขนาดไหนโดยไม่ต้องคิด "จิตวิญญาณไม้แตกออกเป็น 3 สาขา สาขาสองที่ออกจากจิตวิญญาณปราชญ์ได้เอาวัตถุเทพขอบเขตชีวิตของจอมปราชญ์สูงสุดจิตวิญญาณไม้ไป วัตถุเทพที่มีชีวิตเป็นของตัวมันเอง มันเป็นวัตถุเ เทพที่ยอดเยี่ยมซึ่งเทียบเท่ากับหอคอยอนัตตาและพระราชวังสวรรค์แห่งบิเชิง" เจี้ยนเฉินคิด แม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นจอมปราชญ์สูงสุดแห่งจิตวิญญาณไม้มาก่อน แต่เขาก็รู้อดีตมาบ้าง ภูเขาโลกาแฝดภายในโลกแห่งสัตว์อสูรที่ร่วงหล่นถูกสร้างขึ้นจากพลังที่เหลืออยู่ของจอมปราชญ์สูงสุดแห่งจิตวิญญาณไม้ พลังชีวิตและอัตราการฟื้นตัวของสัตว์อสูรกลืนชีวิตที่อยู่ใน นั้นน่ากลัวมากจนแม้แต่เจี้ยนเฉินที่บ่มเพาะร่างบรรพกาลก็ไม่อาจเทียบได้ เขาเคยเห็นพลังของจอมปราชญ์สูงสุดแห่งจิตวิญญาณไม้มาก่อน การพูดคุยของพวกเขาสิ้นสุดลง แต่จักรพรรดิพยัคฆ์ศักดิ์สิทธิ์ยังคงอยู่ในรังไหมสีแดงโลหิต ทำให้เฉินเจี้ยนและเจี้ยนเฉินทั้งคู่เก็บตัวบ่มเพาะ อย่างไรก็ตามเจี้ยนเฉินมีวิถีการบ่มเพาะที่ง่ายมาก เขาเอาแกนเนื้อกุสต้าออกมาและดูดซับพลังงานที่มหาศาลจากแกนเนื้อของมันก่อนจะเปลี่ยนให้เป็นพลังบรรพกาล หลังจากที่มาถึงขั้น 15 ของร่างบรรพกาลแล้ว เม็ดพลังบรรพกาลของเขาก็กลับมามีขนาดเท่าเดิม เขาไม่มีพลังบรรพกาลมากและหลังจากที่สู้กันสองสามครั้งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทำให้พลังบรรพ พกาลของเขาใกล้จะหมดลงมานานแล้ว ย้อนกลับไปที่โลกดาวทมิฬ เขาไม่อาจหาทรัพยากรจำนวนมากเพื่อมาเติมเต็มพลังบรรพกาลของเขาได้ ท้ายที่สุดแล้วพลังงานที่ต้องการกลั่นพลังบรรพกาลแต่ละเส้นหลังจากที่มาถึงขั้น 15 ได้ทว วีคูณหลายสิบเท่า มันไม่ใช่สิ่งที่เขาจะชดเชยได้ด้วยสมบัติสวรรค์ทั่ว ๆ ไป หลังจากที่เขากลับไปที่ตระกูลเทียนหยวนและรวบรวมแกนเนื้อ แต่เขาก็ถูกบังคับให้วิ่งพล่านอีกครั้งเพื่อจักรพรรดิพยัคฆ์ศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าจะข้ามผ่านระยะทางมากมายในมิติอวกาศ เขา ก็เลยไม่มีเวลามาเติมเต็มพลังบรรพกาลของเขาอย่างแน่นอน ตอนนี้เป็นโอกาสดี เจี้ยนเฉินถูกขังอยู่บนดาวเคราะห์นิรนามที่ไม่อาจจากไปได้ เขาจึงถือโอกาสนี้ทำการบ่มเพาะ
- Home
- ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน
- ตอนที่ 2922: จิตวิญญาณปราชญ์ (2) "ข้าไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องนั้น แต่ข้าได้เรียนรู้เล็กน้อยเกี่ยวกับประวัติของจิตวิญญาณปราชญ์จากบันทึกของผู้อาวุโสลมที่ให้ข้าไว้ ว่ากันว่าโลกจิตวิญญาณแตกสลายในอดีตและโลกท ทั้งใบก็ไม่อาจอยู่ได้ เผ่าพันธุ์มากมายที่อยู่ในโลกจิตวิญญาณแต่เดิมก็ถูกบังคับให้ออกจากบ้านและอพยพไปยังโลกเซียน..." "ปีที่พวกเขาเข้าสู่โลกเซียนครั้งแรก มีการทดสอบมากมายสำหรับทุกเผ่าพันธุ์ของโลกจิตวิญญาณ เนื่องจากพลังดั้งเดิมของโลกจิตวิญญาณและโลกเซียนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เมื่อเราเข้าสู โลกเซียนครั้งแรกไม่เพียงแต่เราไม่อาจดูดซับพลังดั้งเดิมเพื่อบ่มเพาะได้เท่านั้น แต่เรายังต้องเผชิญกับการปฏิเสธและการกดขี่ของหลาย ๆ องค์กรที่มีถิ่นกำเนิดในโลกเซียน...." "นั่นเป็นส่วนที่ยากและมืดหม่นที่สุดในประวัติศาสตร์ของทุกผ่าพันธุ์ที่รอดชีวิตจากโลกจิตวิญญาณ ในช่วงเวลานั้นเองที่จิตวิญญาณปราชญ์ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ในการต่อสู้กับ องค์กรต่าง ๆ ของโลกเซียน กองทัพของเราตกเป็นเป้าใหญ่ สมบัติมากมายของเราก็ถูกขโมยไปด้วย...." "ความกดดันในการเอาชีวิตรอดบังคับให้เผ่าที่เหลือทั้งหมดของโลกจิตวิญญาณต้องรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวซึ่งได้กลายเป็นจิตวิญญาณปราชญ์ในภายหลัง หลังจากการรวบรวมกองกำลังของพวกเขาแล้ว ว ท้ายที่สุดจิตวิญญาณปราชญ์ก็มีส่วนร่วมในโลกเซียนหลังจากที่จ่ายค่าตอบแทนออกไปอย่างมาก" "อย่างไรก็ตามหลังจากรวมตัวกันแล้ว ความขัดแย้งภายในก็ค่อย ๆ ปะทุขึ้นในหมู่จิตวิญญาณปราชญ์โดยที่พวกเขาไม่ต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันจากภายนอกเลย ท้ายที่สุดมีเผ่ามากมายในจิตวิญญาณป ปราชญ์ ในโลกจิตวิญญาณของพวกเขา พวกเขาควบคุมและปกครองทั้งหมดของทั้งภูมิภาค ดังนั้นมันจึงสงบสุขอย่างเห็นได้ชัด เมื่อองค์กรเหล่านี้ทั้งหมดถูกบังคับให้รวมตัวกัน ความขัดแย้งต่าง ๆ ก็ผุดขึ้นมาอย่างไม่มีสิ้นสุด" "ด้วยเหตุนี้ ความขัดแย้งภายในระหว่างจิตวิญญาณปราชญ์จึงประทุขึ้นหลายครั้งในอดีต ด้วยความขัดแย้งภายในแต่ละเผ่าแต่ละกลุ่ม พวกเขาจึงซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งในโลกเซียนหรือออกจากโ โลกเซียนและซ่อนตัวอยู่ในโลกขนาดเล็กบางแห่ง โดยเลือกที่จะอาศัยอยู่ในโลกขนาดเล็กเพียงลำพัง" "จิตวิญญาณไม้เคยมีประสบการณ์การกระจัดกระจายในอดีต" "ตามบันทึกโบราณ จิตวิญญาณไม้แบ่งออกเป็น 3 องค์กรในระหว่างการล่มสลาย แต่ละองค์กรของทั้งสามต่างก็มีส่วมร่วมกับสมบัติของจอมปราชญ์สูงสุดแห่งจิตวิญญาณไม้ที่ทิ้งไว้เบื้องหลังก่อ อนที่จะเดินไปตามทางของตัวเอง องค์กรที่สองได้รับวัตถุเทพขอบเขตชีวิตของจอมปราชญ์สูงสุดแห่งจิตวิญญาณไม้ 2 ชิ้น ส่วนองค์กรที่สามได้รับวิถีการบ่มเพาะของจอมปราชญ์แห่งจิตวิญญาณไม ม้...." "กิ่งทั้งสองที่จิตวิญญาณไม้ทิ้งไว้ได้กลายเป็นวัตถุเทพขอบเขตชีวิตก่อนที่จะเงียบหายไป จิตวิญญาณไม้ที่มีวิถีการบ่มเพาะยังคงอยู่ในจิตวิญญาณปราชญ์ก็ค่อย ๆ ลดลงจากความรุ่งเรืองสูง งสุดที่ในตอนนั้น...." ขณะที่เขาพูด เฉินเจี้ยนก็ถอนหายใจและมองขึ้นฟ้า เขาพูดต่อว่า"ชิ้นส่วนที่แตกสลายไม่จำกัดอยู่ที่จิตวิญญาณไม้ มันเกิดขึ้นท่ามกลางเผ่าพันธุ์อื่น ๆ เช่นกันและสมบัติต่าง ๆ ที่ตกทอด ดของโลกจิตวิญญาณรุ่นก่อน ๆ ของเราก็กระจายออกมาพร้อมกับพวกเขา ทำให้จิตวิญญาณปราชญ์ที่แข็งแกร่งในอดีตจางหายไป แต่เดิมที่เป็นตัวตนที่ครอบครองพลังของโลกทั้งหมดก็กลายเป็นอดีต เมื่อเวลาผ่านไป" "และพวกเขาปฏิเสธพวกจิตวิญญาณปราชญ์ที่เผชิญหน้ากับความพ่ายแพ้จากโลกเซียนครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นกัน" เมื่อถึงตอนนี้ เฉินเจี้ยนมองไปที่เจี้ยนเฉินอย่างลึกซึ้งและพูดว่า "ภัยพิบัติที่ จิตวิญญาณปราชญ์เผชิญหน้าล่าสุดมาจากพรรคกระดูกโอฬาร ในตอนนั้นพรรคกระดูกโอฬารได้สังหารพวกเขาเข้ามาในกลุ่มของเรา ไม่เพียงแต่ทำให้เราสูญเสียครั้งใหญ่ แต่ยังปล้นสมบัติมากมาย หากจิตวิญญาณไม้ไม่ได้รับการปกป้องจากพลังของวัตถุบรรพชนในช่วงเวลาสำคัญ ผลที่ตามมาก็ไม่อาจคาดถึงได้" เจี้ยนเฉินจมอยู่ในความคิดของเขา เขาถามว่า "พูดอีกอย่างก็คือ เผ่าเซียนที่ถูกทอดทิ้งของเจ้ามาจากโลกชั้นต่ำนั้นกลายเป็นกลุ่มที่แยกตัวเองออกมาจากจิตวิญญาณปราชญ์ด้วยหรือ ? " เฉินเจี้ยนลังเลเล็กน้อย "ตามบันทึกโบราณที่เกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ของเรา เราบอกเสมอว่าตัวของพวกเรานั้นเผ่าของเราคือเผ่าเซียนที่ทอดถูกทิ้ง หลังจากที่ข้าได้พบกับผู้อาวุโสลม ข้าได้รู้ว่าเผ่าเซียนที่ถูกทอดทิ้งในโลกที่ต่ำกว่านั้นเป็นหนึ่งในเผ่าขนาดใหญ่ของโลกจิตวิญญาณ นั้นก็คือเผ่ากระบี่จรัส" "เผ่ากระบี่จรัส ? " เจี้ยนเฉินตกใจ เขาเป็นคนที่อ่านบันทึกมามาย โดยส่วนตัวเขาเชื่อว่าแม้ว่าจะไม่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับโลกเซียน แต่เขาก็รู้เรื่องต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเผ่ากระบี่จรัสมาก่อน "อย่างไรก็ตาม ผู้อาวุโสลมยังบอกข้าอีกว่าจิตวิญญาณปราชญ์ของโลกเซียนไม่มีเผ่ากระบี่จรัสอีกต่อไป เผ่ากระบี่จรัสในโลกเซียนสาบสูญไปหมดแล้ว สาขาของพรรคพวกของข้าในโลกด้านล่างน น่าจะเป็นสาขาสุดท้ายที่มีอยู่ ยิ่งไปว่านั้นเนื่องจากการให้กำเนิดมาหลายปี สาขาสายเลือดของพวกข้าจึงไม่บริสุทธิ์มาตั้งนานแล้ว...." "บรรพชนเผ่าเซียนที่ถูกทอดทิ้งของเรามีชื่อว่าเหอตู่ ข้าบอกผู้อาวุโสลมเกี่ยวกับบรรพชนเหอตู่ แต่ผู้อาวุโสลมไม่รู้จักเขา เขาเลยคิดว่าบรรพชนเหอตู่น่าจะไม่ใช่คนในยุคเดียว วกับเขา ผู้อาวุโสลมไม่ได้เกิดมาในช่วงที่เขามีชีวิตอยู่ บรรพชนเหอตู่ได้ทิ้งข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับจิตวิญญาณปราชญ์ให้เรา แต่ตอนนี้มันล้าสมัยไปแล้ว...." ขณะที่เฉินเจี้ยนกำลังคิด เจี้ยนเฉินก็ได้เข้าใจคร่าว ๆ เกี่ยวกับประวัติศาตร์และสถานการณ์ปัจจุบันของจิตวิญญาณปราชญ์ อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาสนใจจริง ๆ คือมรดกจำนวนมากและสมบัติล้ำ ค่าที่กระจายออกมาจากจิตวิญญาณปราชญ์ในช่วงหลายปีก่อนหน้านี้ ท้ายที่สุดก่อนที่โลกจิตวิญญาณจะแตก มันเคยกลายเป็นโลกที่สมบูรณ์มาก่อนและมีความสำคัญเทียบเท่ากับโลกเซียนที่มีคนรู้ไม่กี่คน ใครจะรู้ว่าพวกเขาสร้างผู้เชี่ยวชาญระดับสูงในโลกเห หล่านั้นมากี่คน หลังจากนั้น สมบัติที่เหลืออยู่ทั้งหมดได้เข้าสู่โลกเซียนพร้อมกับโลกจิตวิญญาณที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ เขารู้ว่าพวกเขานั้นมั่งคั่งขนาดไหนโดยไม่ต้องคิด "จิตวิญญาณไม้แตกออกเป็น 3 สาขา สาขาสองที่ออกจากจิตวิญญาณปราชญ์ได้เอาวัตถุเทพขอบเขตชีวิตของจอมปราชญ์สูงสุดจิตวิญญาณไม้ไป วัตถุเทพที่มีชีวิตเป็นของตัวมันเอง มันเป็นวัตถุเ เทพที่ยอดเยี่ยมซึ่งเทียบเท่ากับหอคอยอนัตตาและพระราชวังสวรรค์แห่งบิเชิง" เจี้ยนเฉินคิด แม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นจอมปราชญ์สูงสุดแห่งจิตวิญญาณไม้มาก่อน แต่เขาก็รู้อดีตมาบ้าง ภูเขาโลกาแฝดภายในโลกแห่งสัตว์อสูรที่ร่วงหล่นถูกสร้างขึ้นจากพลังที่เหลืออยู่ของจอมปราชญ์สูงสุดแห่งจิตวิญญาณไม้ พลังชีวิตและอัตราการฟื้นตัวของสัตว์อสูรกลืนชีวิตที่อยู่ใน นั้นน่ากลัวมากจนแม้แต่เจี้ยนเฉินที่บ่มเพาะร่างบรรพกาลก็ไม่อาจเทียบได้ เขาเคยเห็นพลังของจอมปราชญ์สูงสุดแห่งจิตวิญญาณไม้มาก่อน การพูดคุยของพวกเขาสิ้นสุดลง แต่จักรพรรดิพยัคฆ์ศักดิ์สิทธิ์ยังคงอยู่ในรังไหมสีแดงโลหิต ทำให้เฉินเจี้ยนและเจี้ยนเฉินทั้งคู่เก็บตัวบ่มเพาะ อย่างไรก็ตามเจี้ยนเฉินมีวิถีการบ่มเพาะที่ง่ายมาก เขาเอาแกนเนื้อกุสต้าออกมาและดูดซับพลังงานที่มหาศาลจากแกนเนื้อของมันก่อนจะเปลี่ยนให้เป็นพลังบรรพกาล หลังจากที่มาถึงขั้น 15 ของร่างบรรพกาลแล้ว เม็ดพลังบรรพกาลของเขาก็กลับมามีขนาดเท่าเดิม เขาไม่มีพลังบรรพกาลมากและหลังจากที่สู้กันสองสามครั้งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทำให้พลังบรรพ พกาลของเขาใกล้จะหมดลงมานานแล้ว ย้อนกลับไปที่โลกดาวทมิฬ เขาไม่อาจหาทรัพยากรจำนวนมากเพื่อมาเติมเต็มพลังบรรพกาลของเขาได้ ท้ายที่สุดแล้วพลังงานที่ต้องการกลั่นพลังบรรพกาลแต่ละเส้นหลังจากที่มาถึงขั้น 15 ได้ทว วีคูณหลายสิบเท่า มันไม่ใช่สิ่งที่เขาจะชดเชยได้ด้วยสมบัติสวรรค์ทั่ว ๆ ไป หลังจากที่เขากลับไปที่ตระกูลเทียนหยวนและรวบรวมแกนเนื้อ แต่เขาก็ถูกบังคับให้วิ่งพล่านอีกครั้งเพื่อจักรพรรดิพยัคฆ์ศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าจะข้ามผ่านระยะทางมากมายในมิติอวกาศ เขา ก็เลยไม่มีเวลามาเติมเต็มพลังบรรพกาลของเขาอย่างแน่นอน ตอนนี้เป็นโอกาสดี เจี้ยนเฉินถูกขังอยู่บนดาวเคราะห์นิรนามที่ไม่อาจจากไปได้ เขาจึงถือโอกาสนี้ทำการบ่มเพาะ
ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน นิยาย บท 5753
หลังจากที่เย่เฉินกับหลินหว่านเอ๋อร์เดินเข้ามา ทั้งสามคนก็รีบก้าวเข้ามาข้างหน้า พร้อมทั้งคู่ชีวิตที่อยู่ร่วมกันมานานของชิวอิงซาน เอ่ยกล่าวอย่างนอบน้อม: “สวัสดีคุณหนู สวัสดีคุณเย่!”
รอยยิ้มที่เหนียมอายเมื่อครู่นี้ของหลินหว่านเอ๋อร์หายไปอย่างไร้ร่องรอย แทนที่ด้วยความเคร่งขรึมราวกับผู้ปกครอง เอ่ยปากกล่าว:ขจ “ฉันกับคุณชายเย่จะออกเดินทางไปที่เตียนหนาน ที่นี่ก็มอบหมายให้พวกเธอดูแล จำเอาไว้ ห้ามให้ใครก็ตามขึ้นไปข้างบน”
ชิวอิงซานกล่าวโดยไม่ลังเล: “คุณหนูวางใจ ผมจะนำเรื่องทั้งหมดจัดการให้เรียบร้อย!’
หลินหว่านเอ๋อร์พยักหน้า จากนั้นก็มองไปทางซุนจือต้ง กล่าวอย่างเรียบเฉย: “เหล่าซุน เมื่อคืนนี้ฉันว่างไม่มีอะไรทำ จึงทำนายดวงชะตาให้นาย ชะตากรรมที่ถูกลิขิตไว้แล้วของนายได้ถูกคุณชายเย่ทำลายแล้ว จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรภายในอีกยี่สิบหรือสามสิบปีข้างหน้า นายสามารถโล่งใจได้แล้ว ถ้าหากเย่นจิงทางด้านนั้นเกิดเรื่อง นายสามารถกลับไปจัดการได้อย่างกล้าหาญและสบายใจ ไม่จำเป็นต้องเปลืองเวลาอยู่ที่นี่”
หลินหว่านเอ๋อร์รู้ดีว่า เส้นทางที่ซุนจือต้งเดิน ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ นี่ก็คือโชคชะตาที่เขายากจะมีสิทธิ์ในการเลือกด้วยตนเองโดยสิ้นเชิง ถ้าหากอยู่ข้างนอกนานเกินไป ไม่แน่นอนว่าเย่นจิงอาจจะมีคนออกมาตามเขาโดยเฉพาะ
ซุนจือต้งก็รู้สถานการณ์ของตนเองเช่นกัน กล่าวอย่างทอดถอนใจ: “คุณหนู พูดอย่างไม่ปิดบังคุณทห ชั่วชีวิตนี้ของผม ก็นับว่าทุ่มเทสติปัญญาทั้งหมดจนถึงที่สุดจนกว่าชีวิตจะหาไม่แล้ว ตอนนี้อายุมากแล้ว ก็ไม่อยากจะเป็นทุกข์ใจไปมากกว่านี้แล้ว ผมอยากจะอยู่ที่นี่ไปอีกสักระยะหนึ่ง จะได้นึกย้อนถึงอดีตเมื่อยังเด็กกับพี่น้องทั้งสองคนได้”
หลินหว่านเอ๋อร์ครุ่นคิดครู่หนึ่ง พยักหน้ากล่าว: “อยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ เอาตามนี้ก่อนแล้วกัน นายจัดการอย่างเหมาะสมเอาเอง ฉันก็จะได้ไม่ต้องกังวลใจแทนนายแล้ว”
ซุนจือต้งประสานมือคำนับอย่างนอบน้อมกล่าว: “คุณหนูไม่ต้องเป็นห่วงผม ยังไงก็รีบไปทำธุระกับคุณเย่โดยเร็วเถอะครับ!”
หลินหว่านเอ๋อร์พยักหน้าเล็กน้อย กล่าวกับทั้งสี่คน: “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นฉันกับคุณชายเย่ไปก่อน”
ทั้งสี่คนรีบส่งคนทั้งสองไปที่ลานบ้าน เมื่อเห็นว่าเย่เฉินกับหลินหว่านเอ๋อร์เข้าไปนั่งในรถซ้ายขวาคนละด้าน เห็นพวกเขาขับรถลงเขาไปกับตา นี่ถึงนับว่าวางใจได้แล้ว
ในรถ เย่เฉินจดจ่อกับการขับรถ แต่หลินหว่านเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้าง ไม่รู้ทำไมถึงหน้าแดงขึ้นมาอีกครั้ง
หางตาเธอมองเย่เฉิน มองนอกหน้าต่าง ลังเลครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงถามเขาอย่างเขินอาย: “ที่รักคะ อีกนานขนาดไหนพวกเราจะถึงสนามบิน?’
เย่เฉินตอบอย่างสบายๆ: “ครึ่งชั่วโมง”
หลินหว่านเอ๋อร์อดไม่ได้จะถามเขาอย่างโกรธเคือง: “คุณชายไม่ใช่ว่าควรเรียกข้าน้อยว่าที่รักหรอกเหรอ?”
เย่เฉินกระแอมเล็กน้อย ถามเธอ: “ที่นี่ไม่มีคนอื่น จะต้องเรียกแบบนี้จริงเหรอ?”
หลินหว่านเอ๋อร์กล่าวอย่างน้อยใจ: “ก่อนหน้านี้ข้าน้อยตกลงกับคุณชายเอาไว้เรียบร้อยแล้ว……”
เย่เฉินรีบกล่าวด้วยท่าทางจริงจัง: “ได้ได้ รักษาคำพูด”
พูดจบ เขาก็ปรับเปลี่ยนเล็กน้อย เอ่ยปากกล่าว: “ที่รัก พวกเราจะถึงสนามบินในอีกครึ่งชั่วโมง”
หลินหว่านเอ๋อร์ยิ้มหวานอย่างเขินอายทันที กล่าวอย่างมีความสุข: “เข้าใจแล้ว ขอบคุณค่ะที่รัก!”
หลินหว่านเอ๋อร์ที่พออกพอใจ อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองมือซ้ายที่กำลังจับพวงมาลัยของเย่เฉิน ถามอย่างสงสัย: “ที่รัก คุณออกจากบ้านไม่สวมแหวนที่ฉันมอบให้เหรอคะ?”
เย่เฉินกล่าวอย่างสบายๆ: “สวมมันทำไมละครับ? เจ้าของที่แหวนวงนั้นยอมรับคือบิดาของคุณไม่ใช่ผมสักหน่อย ผมออกจากบ้านพร้อมกับคุณ เจออันตรายมันก็จะยังส่งผมไปที่ตรงหน้าคุณ ถ้าหากเจออู๋เฟยเยี่ยนเข้าจริงๆ ไม่ใช่ว่าจะทำให้มันติดBugหรอกเหรอ ยังไงก็หนีไม่รอดเงื้อมมือของเธอไม่ใช่เหรอ? กลัวว่าจะทำให้เธอได้แหวนวงนั้นไปฟรีๆอีกด้วย ถ้าเป็นแบบนี้ ยังไงก็อย่าสวมเสียจะดีกว่า”
พูดไป เย่เฉินกล่าวอีกว่า: “อู๋เฟยเยี่ยนอยากจะได้แหวนวงนั้นของคุณแม้แต่ในฝัน พวกเราไม่นำมันพกไว้ติดตัว ต่อให้ถูกอู๋เฟยเยี่ยนจับตัวได้จริงๆละก็ ก็ยังมีทุนไปต่อรองกับเธอได้”
หลินหว่านเอ๋อร์พยักหน้ากล่าว:ญด “ยังไงที่รักคุณก็คิดได้อย่างรอบคอบกว่า ฉันไม่เคยคิดถึงข้อนี้เลย……”
……
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง ทั้งสองคนก็มาถึงสนามบิน
เย่เฉินนำรถจอดเรียบร้อย ทันทีที่ลงรถ หลินหว่านเอ๋อร์ก็ก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง เป็นฝ่ายควงแขนของเย่เฉินหญ เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างสนิทสนมเลยทีเดียว
เย่เฉินตะลึงไปเล็กน้อย ยังไม่ทันได้พูดจา หลินหว่านเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างก็กล่าว: “ระหว่างคนรักควรจะควงแบบนี้ใช่ไหม”
“เอ่อ……”เย่เฉินเข้าใจว่าเธอกำลังปลอมตัวเป็นคนรักกับตน จึงพยักหน้ากล่าว: “น่าจะใช่นะ”
หลินหว่านเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นอีกเดี๋ยวตอนขึ้นเครื่อง เพื่อไม่ให้ลูกเรือสงสัย ก็จะต้องควงแขนคุณเอาไว้เหมือนกัน?”
เย่เฉินพยักหน้ากล่าว: “ไม่มีปัญหา เอาตามที่คุณเห็นว่าดี”
พูดไป เย่เฉินควักโทรศัพท์มือถือออกมาดู ในซอฟต์แวร์การบินเวอร์ชันเสียเงิน สามารถมองเห็นว่าเครื่องบินลำนั้นของอู๋เฟยเยี่ยนได้บินข้ามนิวซีแลนด์เรียบร้อยแล้ว ระยะห่างจะเมลเบิร์นได้ใกล้มากแล้ว
เย่เฉินพลางถูกหลินหว่านเอ๋อร์ควงแขน พลางจ้องมองโทรศัพท์มือถือกล่าวเสียงเบา: “เครื่องบินของอู๋เฟยเยี่ยนได้ลดความสูงลงแล้ว ดูเหมือนว่าจะต้องลงจอดที่เมลเบิร์นสักเดี๋ยว เติมเชื้อเพลิง ขั้นตอนทั้งหมดอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วโมง พวกเราก็น่าจะขึ้นบินไล่เลี่ยกันกับเธอ เมื่อพิจารณาว่าเธอจะไปที่เมียนมาก่อน ดังนั้นพวกเราของพวกเราเหลือเฟือมาก เหลือเฟือจนถึงขนาดสามารถเที่ยวไปเดินทางไปได้”
หลินหว่านเอ๋อร์พยักหน้า กล่าวอย่างทอดถอนใจ: “ฉันไม่ได้กลับไปหลายปีมากแล้ว เมื่อไปถึงที่เตียนหนาน จะเชื่อฟังที่คุณจัดการทุกอย่าง”