ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - ตอนที่ 652 รู้สึกโดดเดี่ยวอย่างบอกไม่ถูก ทันทีที่เจียงเสี่ยวไป๋ออกไป เขาก็เห็นรถบรรทุก 130 จอดอยู่ที่หน้าประตูด้านนอก ในตอนนี้ หวังผิงกำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างรถ โดยมีก้นบุหรี่มากกว่าหนึ่งโหลถูกทิ้งอยู่ที่เท้าของเขา เมื่อเห็นแบบนั้น เขาก็ยิ้มออกมา ที่จริงเขารออยู่ที่นี่มานานแล้ว แต่แค่ไม่กล้าเข้าไปเพราะเขารู้ตัวดี อืม ความหนาวข้างนอกนี้ทำอะไรเขาไม่ได้เหมือนกัน เฝิงเยี่ยนหงที่เพิ่งมองเห็นหวังผิงก็รู้สึกสับสนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเพิ่งบ่นไปก่อนหน้านี้ว่าเขาไม่มารับ คิดไม่ถึงเลยว่าจะออกมาเจอเขารออยู่ข้างนอกแล้ว ดูจากก้นบุหรี่แล้ว เขาก็คงจะรอมาสักพักใหญ่แล้ว แต่พอเธอมองไปที่เขา มันก็รู้สึกโกรธอย่างบอกไม่ถูกเลยจริง ๆ เจียงเสี่ยวไป๋เลยพูดออกมาว่า “นู่น มีคนมารับเธอแล้ว เพราะงั้นพวกฉันกลับก่อนนะ ! ” หลังจากที่เฝิงเยี่ยนหงได้ยินแบบนี้ก็ขานรับ ก่อนที่หลินเจียอินจะกลับ เธอก็กระซิบบอกกับเขาไปว่า “อย่าทะเลาะกันเลยนะ” เฝิงเยี่ยนหงพยักหน้า หลินเจียจวินและหลินเจียหงต่างก็บอกลาและเร่งฝีเท้าเดินไปด้วยกัน เจียงเสี่ยวไป๋มาถึงตัวหวังผิงก่อน เขาโบกมือทักทายและพูดเสียงดังว่า “ไง วันนี้มารับถึงที่นี่เลยหรือ งั้นพวกฉันกลับก่อนนะ ! ” พูดจบ เขาก็เดินไปที่รถจี๊ปของเขาทันที แต่นั่นมันก็ทำให้หวังผิงรู้สึกกังวลขึ้นมา เพราะหากเจียงเสี่ยวไป๋และพวกหลินเจียอินอยู่ที่นี่ด้วย อย่างน้อยเฝิงเยี่ยนหงก็น่าจะไว้หน้าพวกเขา และเธอคงไม่แสดงท่าทีโมโหออกมาต่อหน้าคนอื่น เขาเตรียมจะขอให้เจียงเสี่ยวไป๋ช่วยเขา คิดไม่ถึงเลยว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะปลีกตัวหนีไปเร็วขนาดนี้ ใช้ได้ที่ไหนกัน ? ในเมื่อเขาไปแล้ว งั้นฉันคงจบเห่แล้วล่ะ ! เขาพูดออกมาอย่างรวดเร็วว่า “อย่าเพิ่ง นี่มันก็จะหกโมงแล้ว เราไปกินข้าวเย็นด้วยกันเถอะ” เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ไม่ดีกว่า วันนี้ครอบครัวของฉันตุ๋นหางหมูไว้แล้ว เดี๋ยวพวกเราจะกลับไปกินข้าวที่บ้าน” หวังผิงที่ได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกกังวลมากขึ้น ปกตินายฉลาดมีไหวพริบมาตลอดไม่ใช่หรือไง ? ทำไมวันนี้ถึงไม่เข้าใจฉันเลย ? เขาเหลือบมองหลินเจียจวิน แล้วพูดว่า “เสี่ยวไป๋ พี่เจียจวินและพี่เจียหงมาที่ชิงโจวทั้งที ฉันยังไม่มีโอกาสได้ชวนพวกเขาไปทานอาหารเย็นเลย วันนี้ทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว ฉันจะเลี้ยงข้าวพวกเขา ไปกินข้าวต้มหัวปลาหรือโจ๊กซีฟู๊ดก็ได้” หลินเจียจวินโบกมือพร้อมกับบอกว่า “ช่างเถอะ นี่มันก็เริ่มมืดแล้ว พวกเรากลับกันก่อนนะ” หวังผิงได้ยินแบบนั้นก็ตกใจเล็กน้อย เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ยอมอยู่ต่อ ขนาดหลินเจียจวินเองก็ยังไม่อยู่ต่อเหมือนกัน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะหันไปขอความช่วยเหลือจากหลินเจียหงและพูดว่า “พี่เจียหง ขอบคุณที่บอกฉันว่าภรรยาของผมกำลังตั้งท้องลูกสาว ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ให้ผมได้เลี้ยงข้าวพี่เถอะ ! ” หลินเจียหงจึงพูดออกมาว่า “เรื่องเล็กน้อยเอง ไม่ต้องเกรงใจ หากคุณต้องการที่จะเลี้ยงข้าวฉัน ไว้เป็นวันอื่นเถอะ ! ” หวังผิงตกตะลึง นี่ไม่มีใครไว้หน้าเขาเลย ! ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าฉันจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่โดดเดี่ยวจนทำอะไรไม่ถูกแบบนี้มาก่อน นึกไม่ออกเลยว่าเขาจะได้เจอพายุแบบไหน ? แต่ก็หวังว่าเธอจะไม่มาระเบิดมันออกมาตอนนี้ จนกว่าจะถึงบ้าน แบบนี้เขาจะได้มีหน้ามีตาเหลืออยู่บ้าง หวังกังน้อยเองก็มองดูเฝิงเยี่ยนหงด้วยท่าทีประหม่าและยังเป็นห่วงพ่อของเขาอีกด้วย “ปี๊บ ! ” เจียงเสี่ยวไป๋บีบแตร ก่อนที่รถจี๊ปจะขับออกจากลานไปอย่างช้า ๆ หวังผิงกลับมามีสติอีกครั้ง ก่อนที่จะเห็นว่าเฝิงเยี่ยนหงเดินเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก เขาตกใจมากจึงพูดออกมาอย่างรวดเร็ว “เยี่ยนหง ผมขอโทษ ผม…” “ไว้คุยกันที่บ้าน ! ” เฝิงเยี่ยนหงเหลือบมองเขา ก่อนที่จะพูดตัดบทก่อน เมื่อเห็นแบบนั้น หวังผิงก็ตกตะลึงอีกครั้ง พายุรุนแรงที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกลับปกติ เขาทั้งประหลาดใจและมีความสุขไปในเวลาเดียวกัน ตอนนี้เขาไม่รู้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น “พ่อ เปิดประตูรถสิ ! ” หวังกังเขย่าแขนของหวังผิง “ใช่ ๆ เปิดประตูหน่อย ! ” จากนั้น หวังผิงก็เปิดประตูรถอย่างรวดเร็วแล้วก็ช่วยประคองเฝิงเยี่ยนหงเข้าไปในรถอย่างระมัดระวัง “ถ้าครั้งนี้ฉันถูกภรรยาลงโทษจนสาหัส ฉันจะให้เจียงเสี่ยวไป๋ชดใช้ด้วยการซื้อรถจี๊ปให้ ! ” หวังผิงได้แต่แอบรู้สึกว่ามันโหดร้ายอยู่ในใจ เขาเหลือบมองเฝิงเยี่ยนหงที่นั่งอยู่บนที่นั่งคนขับพร้อมกับอุ้มหวังกังขึ้นรถ หลังจากที่ปิดประตูแล้ว เขาก็เดินไปขึ้นฝั่งคนขับ เขาไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียง ได้แต่ขับไปอย่างเงียบ ๆ อีกด้านหนึ่ง เจียงเสี่ยวไป๋เองก็กำลังขับออกจากถนนเหมียววาน ออกจากเมืองเพื่อกลับบ้าน ด้านในรถ หลินเจียจวินพูดขึ้นว่า “เสี่ยวไป๋ นายคิดว่าเยี่ยนหงจะจัดการหวังผิงอย่างไร ? เขาจะถูกลงโทษให้คุกเข่าบนไม้กระดานซักผ้าไหม ? ” เจียงเสี่ยวไป๋ตอบว่า “ผมจะไปรู้ได้อย่างไร ? ” หลินเจียหงพูดต่ออีกว่า “แล้วนี่พี่จะสนใจไปทำไม ? เรามาคุยเรื่องร้านสปาเท้ากันดีกว่า” หลินเจียจวินพูดต่อว่า “ไม่ใช่ว่าคุยเรื่องนี้กันไปแล้วเหรอ ? ทำไมยังชวนคุยอยู่อีก ยังคุยไม่เสร็จอีกเหรอ ? ” หลินเจียหงพูดว่า “ฉันยังบอกแค่ว่าฉันต้องการพนักงานชำนาญสามคน แต่ฉันยังไม่ได้บอกเลยว่าฉันต้องการใครบ้าง” เจียงเสี่ยวไป๋ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี เขาจึงพูดไปว่า “พี่เจียหง อย่าบอกนะว่าพี่เลือกคนไว้เสร็จสรรพแล้ว ! ” หลินเจียหงพยักหน้า “ใช่ ฉันอยากให้เป็นหยวนหยวน จางหงหยู และเฉินเจีย” เจียงเสี่ยวไป๋พูดออกมาโดยไม่คิด “ไม่ได้ ทั้งสามคนนี้เก่งที่สุดแล้วในบรรดาพนักงานทั้งหมด หากผมยกให้พี่หมด แล้วร้านดื่มชาสปาเท้าของผมล่ะ ? ” “พี่เลือกมาหนึ่งในสามคนนี้ แล้วเดี๋ยวผมจะหาเพิ่มอีกคนให้พี่” หลินเจียหงพูดต่อว่า “แต่ฉันรู้จักแค่สามคนนี้เท่านั้น ! ” เจียงเสี่ยวไป๋พูดต่ออีกว่า “มันไม่สำคัญหรอกว่าพี่จะรู้จักหรือเปล่า ผมจะจัดการให้เอง” หลินเจียหงพูดต่ออีกว่า “เอาล่ะ ฉันจะไม่เถียงนายแล้ว งั้นฉันขอเป็นหยวนหยวนแล้วกัน ! ” เจียงเสี่ยวไป๋ที่กำลังจะตอบตกลง แต่หลินเจียจวินก็พูดออกมาก่อนว่า “ฉันว่าเฉินเจียก็ไม่เลวนะ” หลินเจียหงที่ได้ยินแบบนั้นก็พูดว่า “ไม่ ฉันจะเลือกหยวนหยวน ! ” เจียงเสี่ยวไป๋พูดต่ออีกว่า “อะไรกัน พี่สองคนเลือกกันคนละคนเลยหรือไง ! ” หลินเจียหงกล่าวว่า “ก็ไม่มีอะไรหรอก เราคุยเรื่องนี้กันตอนที่เราสปาเท้ากัน และฉันบอกเธอว่าจะไปขอเธอมาจากนายไง” เจียงเสี่ยวไป๋ถามหลินเจียจวิ้นอีกครั้ง “แล้วพี่ล่ะ ? ” หลินเจียจวินพูดว่า “เธอเคยสปาเท้าให้ฉันไง ฉันคิดว่าเธอนิสัยน่ารักเลยทีเดียว” เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “เอาล่ะ งั้นเป็นหยวนหยวนแล้วกัน ! เพราะพี่หงรับปากเธอไว้แล้ว” หลินเจียจวินไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ก็รู้สึกเสียใจอยู่เล็กน้อย หลินเจียหงพูดออกมมาอย่างมีความสุขว่า “เอาล่ะ ตกลงตามนี้นะ” เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า เสียงของหลินเจียหงเปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น “แล้วเย็นนี้เราจะกินอะไรดีล่ะ ? ” เจียงเสี่ยวไป๋พูดว่า “กลับบ้านไปดูกันเถอะ ผมไม่รู้ว่าแม่ทำอาหารเสร็จแล้วหรือยัง” “เอาล่ะ ถึงแม้ว่าแม่จะไม่ได้ทำ แต่นายก็ต้องเป็นคนทำอาหารอร่อย ๆ ให้ฉันกินแทน” หลินเจียหงพูด และสองสามคนก็คุยกันไปตลอดทางจนถึงเจียงวาน ก่อนที่จะเดินเข้าประตู เจียงเสี่ยวไป๋ได้พูดว่า “อย่างไรก็ตาม สายจูงของสุนัขมันไม่ค่อยดี เพราะงั้นระวังด้วยนะ” “กรี๊ด ! ” หลินเจียหงกรีดร้องออกมา ก่อนที่จะรีบซ่อนตัวทางด้านหลังของหลินเจียจวินแล้วพูดออกมาอย่างไม่พอใจ “ทำไมนายยังไม่ซื้อสายจูงสุนัขล่ะ ? ” เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวต่ออีกว่า “ผมสั่งทำไว้แล้ว พรุ่งนี้ก็น่าจะได้มาแล้ว” แล้วเขาก็หันไปพูดกับเจียงชานว่า “ลูกเข้าไปก่อน แล้วพาเจียงซือไปที่สวนหลังบ้าน” “อ้อ ค่ะ ! ” หนูน้อยตอบรับ ก่อนที่จะรีบวิ่งกระโดดโลดเต้นเข้าบ้านไป
- Home
- ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน
- ตอนที่ 652 รู้สึกโดดเดี่ยวอย่างบอกไม่ถูก ทันทีที่เจียงเสี่ยวไป๋ออกไป เขาก็เห็นรถบรรทุก 130 จอดอยู่ที่หน้าประตูด้านนอก ในตอนนี้ หวังผิงกำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างรถ โดยมีก้นบุหรี่มากกว่าหนึ่งโหลถูกทิ้งอยู่ที่เท้าของเขา เมื่อเห็นแบบนั้น เขาก็ยิ้มออกมา ที่จริงเขารออยู่ที่นี่มานานแล้ว แต่แค่ไม่กล้าเข้าไปเพราะเขารู้ตัวดี อืม ความหนาวข้างนอกนี้ทำอะไรเขาไม่ได้เหมือนกัน เฝิงเยี่ยนหงที่เพิ่งมองเห็นหวังผิงก็รู้สึกสับสนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเพิ่งบ่นไปก่อนหน้านี้ว่าเขาไม่มารับ คิดไม่ถึงเลยว่าจะออกมาเจอเขารออยู่ข้างนอกแล้ว ดูจากก้นบุหรี่แล้ว เขาก็คงจะรอมาสักพักใหญ่แล้ว แต่พอเธอมองไปที่เขา มันก็รู้สึกโกรธอย่างบอกไม่ถูกเลยจริง ๆ เจียงเสี่ยวไป๋เลยพูดออกมาว่า “นู่น มีคนมารับเธอแล้ว เพราะงั้นพวกฉันกลับก่อนนะ ! ” หลังจากที่เฝิงเยี่ยนหงได้ยินแบบนี้ก็ขานรับ ก่อนที่หลินเจียอินจะกลับ เธอก็กระซิบบอกกับเขาไปว่า “อย่าทะเลาะกันเลยนะ” เฝิงเยี่ยนหงพยักหน้า หลินเจียจวินและหลินเจียหงต่างก็บอกลาและเร่งฝีเท้าเดินไปด้วยกัน เจียงเสี่ยวไป๋มาถึงตัวหวังผิงก่อน เขาโบกมือทักทายและพูดเสียงดังว่า “ไง วันนี้มารับถึงที่นี่เลยหรือ งั้นพวกฉันกลับก่อนนะ ! ” พูดจบ เขาก็เดินไปที่รถจี๊ปของเขาทันที แต่นั่นมันก็ทำให้หวังผิงรู้สึกกังวลขึ้นมา เพราะหากเจียงเสี่ยวไป๋และพวกหลินเจียอินอยู่ที่นี่ด้วย อย่างน้อยเฝิงเยี่ยนหงก็น่าจะไว้หน้าพวกเขา และเธอคงไม่แสดงท่าทีโมโหออกมาต่อหน้าคนอื่น เขาเตรียมจะขอให้เจียงเสี่ยวไป๋ช่วยเขา คิดไม่ถึงเลยว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะปลีกตัวหนีไปเร็วขนาดนี้ ใช้ได้ที่ไหนกัน ? ในเมื่อเขาไปแล้ว งั้นฉันคงจบเห่แล้วล่ะ ! เขาพูดออกมาอย่างรวดเร็วว่า “อย่าเพิ่ง นี่มันก็จะหกโมงแล้ว เราไปกินข้าวเย็นด้วยกันเถอะ” เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ไม่ดีกว่า วันนี้ครอบครัวของฉันตุ๋นหางหมูไว้แล้ว เดี๋ยวพวกเราจะกลับไปกินข้าวที่บ้าน” หวังผิงที่ได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกกังวลมากขึ้น ปกตินายฉลาดมีไหวพริบมาตลอดไม่ใช่หรือไง ? ทำไมวันนี้ถึงไม่เข้าใจฉันเลย ? เขาเหลือบมองหลินเจียจวิน แล้วพูดว่า “เสี่ยวไป๋ พี่เจียจวินและพี่เจียหงมาที่ชิงโจวทั้งที ฉันยังไม่มีโอกาสได้ชวนพวกเขาไปทานอาหารเย็นเลย วันนี้ทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว ฉันจะเลี้ยงข้าวพวกเขา ไปกินข้าวต้มหัวปลาหรือโจ๊กซีฟู๊ดก็ได้” หลินเจียจวินโบกมือพร้อมกับบอกว่า “ช่างเถอะ นี่มันก็เริ่มมืดแล้ว พวกเรากลับกันก่อนนะ” หวังผิงได้ยินแบบนั้นก็ตกใจเล็กน้อย เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ยอมอยู่ต่อ ขนาดหลินเจียจวินเองก็ยังไม่อยู่ต่อเหมือนกัน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะหันไปขอความช่วยเหลือจากหลินเจียหงและพูดว่า “พี่เจียหง ขอบคุณที่บอกฉันว่าภรรยาของผมกำลังตั้งท้องลูกสาว ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ให้ผมได้เลี้ยงข้าวพี่เถอะ ! ” หลินเจียหงจึงพูดออกมาว่า “เรื่องเล็กน้อยเอง ไม่ต้องเกรงใจ หากคุณต้องการที่จะเลี้ยงข้าวฉัน ไว้เป็นวันอื่นเถอะ ! ” หวังผิงตกตะลึง นี่ไม่มีใครไว้หน้าเขาเลย ! ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าฉันจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่โดดเดี่ยวจนทำอะไรไม่ถูกแบบนี้มาก่อน นึกไม่ออกเลยว่าเขาจะได้เจอพายุแบบไหน ? แต่ก็หวังว่าเธอจะไม่มาระเบิดมันออกมาตอนนี้ จนกว่าจะถึงบ้าน แบบนี้เขาจะได้มีหน้ามีตาเหลืออยู่บ้าง หวังกังน้อยเองก็มองดูเฝิงเยี่ยนหงด้วยท่าทีประหม่าและยังเป็นห่วงพ่อของเขาอีกด้วย “ปี๊บ ! ” เจียงเสี่ยวไป๋บีบแตร ก่อนที่รถจี๊ปจะขับออกจากลานไปอย่างช้า ๆ หวังผิงกลับมามีสติอีกครั้ง ก่อนที่จะเห็นว่าเฝิงเยี่ยนหงเดินเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก เขาตกใจมากจึงพูดออกมาอย่างรวดเร็ว “เยี่ยนหง ผมขอโทษ ผม…” “ไว้คุยกันที่บ้าน ! ” เฝิงเยี่ยนหงเหลือบมองเขา ก่อนที่จะพูดตัดบทก่อน เมื่อเห็นแบบนั้น หวังผิงก็ตกตะลึงอีกครั้ง พายุรุนแรงที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกลับปกติ เขาทั้งประหลาดใจและมีความสุขไปในเวลาเดียวกัน ตอนนี้เขาไม่รู้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น “พ่อ เปิดประตูรถสิ ! ” หวังกังเขย่าแขนของหวังผิง “ใช่ ๆ เปิดประตูหน่อย ! ” จากนั้น หวังผิงก็เปิดประตูรถอย่างรวดเร็วแล้วก็ช่วยประคองเฝิงเยี่ยนหงเข้าไปในรถอย่างระมัดระวัง “ถ้าครั้งนี้ฉันถูกภรรยาลงโทษจนสาหัส ฉันจะให้เจียงเสี่ยวไป๋ชดใช้ด้วยการซื้อรถจี๊ปให้ ! ” หวังผิงได้แต่แอบรู้สึกว่ามันโหดร้ายอยู่ในใจ เขาเหลือบมองเฝิงเยี่ยนหงที่นั่งอยู่บนที่นั่งคนขับพร้อมกับอุ้มหวังกังขึ้นรถ หลังจากที่ปิดประตูแล้ว เขาก็เดินไปขึ้นฝั่งคนขับ เขาไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียง ได้แต่ขับไปอย่างเงียบ ๆ อีกด้านหนึ่ง เจียงเสี่ยวไป๋เองก็กำลังขับออกจากถนนเหมียววาน ออกจากเมืองเพื่อกลับบ้าน ด้านในรถ หลินเจียจวินพูดขึ้นว่า “เสี่ยวไป๋ นายคิดว่าเยี่ยนหงจะจัดการหวังผิงอย่างไร ? เขาจะถูกลงโทษให้คุกเข่าบนไม้กระดานซักผ้าไหม ? ” เจียงเสี่ยวไป๋ตอบว่า “ผมจะไปรู้ได้อย่างไร ? ” หลินเจียหงพูดต่ออีกว่า “แล้วนี่พี่จะสนใจไปทำไม ? เรามาคุยเรื่องร้านสปาเท้ากันดีกว่า” หลินเจียจวินพูดต่อว่า “ไม่ใช่ว่าคุยเรื่องนี้กันไปแล้วเหรอ ? ทำไมยังชวนคุยอยู่อีก ยังคุยไม่เสร็จอีกเหรอ ? ” หลินเจียหงพูดว่า “ฉันยังบอกแค่ว่าฉันต้องการพนักงานชำนาญสามคน แต่ฉันยังไม่ได้บอกเลยว่าฉันต้องการใครบ้าง” เจียงเสี่ยวไป๋ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี เขาจึงพูดไปว่า “พี่เจียหง อย่าบอกนะว่าพี่เลือกคนไว้เสร็จสรรพแล้ว ! ” หลินเจียหงพยักหน้า “ใช่ ฉันอยากให้เป็นหยวนหยวน จางหงหยู และเฉินเจีย” เจียงเสี่ยวไป๋พูดออกมาโดยไม่คิด “ไม่ได้ ทั้งสามคนนี้เก่งที่สุดแล้วในบรรดาพนักงานทั้งหมด หากผมยกให้พี่หมด แล้วร้านดื่มชาสปาเท้าของผมล่ะ ? ” “พี่เลือกมาหนึ่งในสามคนนี้ แล้วเดี๋ยวผมจะหาเพิ่มอีกคนให้พี่” หลินเจียหงพูดต่อว่า “แต่ฉันรู้จักแค่สามคนนี้เท่านั้น ! ” เจียงเสี่ยวไป๋พูดต่ออีกว่า “มันไม่สำคัญหรอกว่าพี่จะรู้จักหรือเปล่า ผมจะจัดการให้เอง” หลินเจียหงพูดต่ออีกว่า “เอาล่ะ ฉันจะไม่เถียงนายแล้ว งั้นฉันขอเป็นหยวนหยวนแล้วกัน ! ” เจียงเสี่ยวไป๋ที่กำลังจะตอบตกลง แต่หลินเจียจวินก็พูดออกมาก่อนว่า “ฉันว่าเฉินเจียก็ไม่เลวนะ” หลินเจียหงที่ได้ยินแบบนั้นก็พูดว่า “ไม่ ฉันจะเลือกหยวนหยวน ! ” เจียงเสี่ยวไป๋พูดต่ออีกว่า “อะไรกัน พี่สองคนเลือกกันคนละคนเลยหรือไง ! ” หลินเจียหงกล่าวว่า “ก็ไม่มีอะไรหรอก เราคุยเรื่องนี้กันตอนที่เราสปาเท้ากัน และฉันบอกเธอว่าจะไปขอเธอมาจากนายไง” เจียงเสี่ยวไป๋ถามหลินเจียจวิ้นอีกครั้ง “แล้วพี่ล่ะ ? ” หลินเจียจวินพูดว่า “เธอเคยสปาเท้าให้ฉันไง ฉันคิดว่าเธอนิสัยน่ารักเลยทีเดียว” เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “เอาล่ะ งั้นเป็นหยวนหยวนแล้วกัน ! เพราะพี่หงรับปากเธอไว้แล้ว” หลินเจียจวินไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ก็รู้สึกเสียใจอยู่เล็กน้อย หลินเจียหงพูดออกมมาอย่างมีความสุขว่า “เอาล่ะ ตกลงตามนี้นะ” เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า เสียงของหลินเจียหงเปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น “แล้วเย็นนี้เราจะกินอะไรดีล่ะ ? ” เจียงเสี่ยวไป๋พูดว่า “กลับบ้านไปดูกันเถอะ ผมไม่รู้ว่าแม่ทำอาหารเสร็จแล้วหรือยัง” “เอาล่ะ ถึงแม้ว่าแม่จะไม่ได้ทำ แต่นายก็ต้องเป็นคนทำอาหารอร่อย ๆ ให้ฉันกินแทน” หลินเจียหงพูด และสองสามคนก็คุยกันไปตลอดทางจนถึงเจียงวาน ก่อนที่จะเดินเข้าประตู เจียงเสี่ยวไป๋ได้พูดว่า “อย่างไรก็ตาม สายจูงของสุนัขมันไม่ค่อยดี เพราะงั้นระวังด้วยนะ” “กรี๊ด ! ” หลินเจียหงกรีดร้องออกมา ก่อนที่จะรีบซ่อนตัวทางด้านหลังของหลินเจียจวินแล้วพูดออกมาอย่างไม่พอใจ “ทำไมนายยังไม่ซื้อสายจูงสุนัขล่ะ ? ” เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวต่ออีกว่า “ผมสั่งทำไว้แล้ว พรุ่งนี้ก็น่าจะได้มาแล้ว” แล้วเขาก็หันไปพูดกับเจียงชานว่า “ลูกเข้าไปก่อน แล้วพาเจียงซือไปที่สวนหลังบ้าน” “อ้อ ค่ะ ! ” หนูน้อยตอบรับ ก่อนที่จะรีบวิ่งกระโดดโลดเต้นเข้าบ้านไป
ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน นิยาย บท 5725
ไม่เหมือนคนหยาบอย่างหงห้าแบบนี้ ตัวเองให้โอสถเขา เขาก็คุกเข่าบนพื้น สองแขนชูเหนือศีรษะ หลังจากรับยาไป ก็โขกหัวบนพื้น บอกว่าขอบคุณอาจารย์เย่ที่มอบยาไว้ เรื่องนี้ก็เป็นอันจบไป
หลังจากทอดถอนใจ เย่เฉินก็พูดกับทั้งสองคน : “คุณตา คุณยายครับ รีบทานโอสถไปหน่อยนะครับ จากนั้นเราไปกินข้าวกันเถอะครับ คุยกันนานขนาดนี้ ท้องผมหิวแล้วครับ !”
ทั้งสองคนสบตากัน เมื่อกี้รับโอสถไป จากนั้นต่างฝ่ายต่างมองกัน มองโอสถ แล้วมองเย่เฉินกับลูกหลานทั้งสี่คน จากนั้นทั้งสองคนหยิบโอสถขึ้นมาพร้อมกัน แล้วค่อย ๆ วางลงในปาก
นอกเหนือจากเย่เฉิน ตระกูลอานคนอื่น ๆ รวมทั้งหลี่ญ่าหลิน ต่างเบิกตาโพลง มองผู้สูงอายุทั้งสองคนโดยไม่กะพริบตา อยากเห็นประสิทธิภาพของยาอายุวัฒนะกับตาตัวเองสักหน่อย
ต่อให้เป็นอานโฉงชิวน้าชายใหญ่ของเย่เฉิน ในตอนนั้นเห็นเพียงประสิทธิภาพที่คนอื่นทานหนึ่งในสี่ส่วนของยาอายุวัฒนะหนึ่งเม็ด ที่งานประมูลเท่านั้น ไม่เคยเห็นฉากที่กินยาอายุวัฒนะไปทั้งเม็ด
และผู้สูงอายุทั้งสองคน ต่างฝ่ายต่างเหล่มองกันอยู่ตลอด พวกเขาอยากเห็นประสิทธิภาพของยาอายุวัฒนะที่เวลาไหลย้อนกลับนั่นที่เล่าลือกัน จากใบหน้าของอีกฝ่าย
และยาอายุวัฒนะ ไม่เคยทำให้ใครผิดหวัง
พอฤทธิ์ยาได้ผล ก็ราวกับภาพสไลด์ที่เล่นย้อนด้วยความเร็วทันที
ผมขาวโพลนของผู้อายุทั้งสองคนโผล่สีดำแซมอยู่บ้างอย่างรวดเร็ว รอยย่นลึกพวกนั้นบนหน้า ราวกับถูกเติมให้เต็มในชั่วพริบตาด้วยเหมือนกัน ใบหน้าหย่อนยาน เห็นได้ชัดว่ามีความสามารถต่อต้านแรงโน้มถ่วง
ทั้งสองคนมองคู่ชีวิตที่อยู่ด้วยกันมาค่อนชีวิต และเห็นคู่ชีวิตที่อีกฝ่ายแก่ลงทีละน้อย ๆ กับตาตัวเอง จู่ ๆ ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเยาว์วันอย่างรวดเร็ว จึงทั้งรู้สึกตกใจและดีใจ ประสบการณ์ที่มหัศจรรย์นี้ ทำให้ความรู้สึกที่พวกเขามีต่ออีกฝ่ายสูงขึ้นอีกครั้ง
และความเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่กว่านั้น อยู่ที่ร่างกายของทั้งสองคน
สมองใหญ่โตของคุณท่านที่ทรมานจากโรคอัลไซเมอร์มาเต็มอิ่มนั่น ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นยิ่งแจ่มชัด
เดิมทีเขาก็เป็นคนที่ฉลาดหลักแหลม ความคิดฉับไวคนหนึ่ง แต่เป็นโรคอัลไซเมอร์ ความเร็วก็ช้าลงเรื่อย ๆ และกำลังก็อ่อนลงเรื่อย ๆ ด้วยเช่นกัน เหมือนเป็นเครื่องยนต์ของรถสปอร์ตตำนานเกิดปัญหาที่ไม่สามารถซ่อมแซมได้
แต่เขาในตอนนี้ สามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า ความรู้สึกที่สมองใหญ่โตทำงานด้วยความเร็วสูงแบบนั้น กลับมาอีกครั้งแล้ว ความทรงจำที่ก่อนหน้านี้ที่จะยังไงก็จับเอาไว้ไม่ได้ ชั่วพริบตาก็พรั่งพรูเหมือนกระแสน้ำแบบนั้น แต่เขาไม่ได้รู้สึกว่ารับไม่หวาดไม่ไหว แต่รู้สึกว่าทุกอย่างที่พังลงมาก่อนหน้านี้ สร้างขึ้นมาอีกครั้งอย่างรวดเร็วในสมองอันใหญ่โต
ส่วนนายหญิงใหญ่ รู้สึกว่าสภาพร่างกายมีการยกระดับสูงขึ้น ทำให้เธอมีความรู้สึกของเมื่อยี่สิบปีก่อนกลับมาภายในเวลาอันสั้น
ความรู้สึกที่เวลาย้อนกลับพวกนี้ทำให้เธอตื่นเต้นดีใจเป็นบ้าเป็นหลัง แต่วินาทีถัดมา จู่ ๆ เธอกลับปิดหน้าแล้วร้องไห้
เนื่องจาก เมื่อยี่สิบปีก่อน ก็คือปีนั้นที่ลูกสาวคนโตสุดที่รักของเธอกับลูกเขยถูกฆ่าตาย
คุณท่านเองก็เหมือนกับเธอ หลังจากที่ประสบความรู้สึกเยาว์วัยเมื่อยี่สิบปีด้วยตัวเอง ก็นึกถึงการตายของลูกสาวกับลูกเขย ความรู้สึกก็พังทลายไปเลยทันที เริ่มร้องไห้แบบไร้เสียง
คนอื่นไม่ได้ตระหนักด้วยตัวเอง ดังนั้นไม่รู้ว่าพวกเขาร้องได้น้ำตานองหน้าทำไม ยังนึกว่าพวกเขาแค่ดีใจ เลยร้องไห้ด้วยความดีใจ
ครั้นแล้ว พากันเข้าไปปลอบใจ
อานโฉงชิวบอก : “พ่อครับ แม่ครับ ทำไมทั้งสองคนยังร้องไห้ล่ะ ดูสิพวกคุณอายุน้อยลงขนาดนี้ภายในเวลาอันสั้น เราดีใจก็ยังไม่ทันด้วยซ้ำ !”
“นั่นสิคะ ! ” อานโยวโยวพูดไม่ขาดปาก : “พ่อคะ แม่คะ ใบหน้าของพวกคุณ อายุน้อยลงไม่เพียงแค่สิบกว่าปีภายในเวลาอันสั้นจริง ๆ ! วิเศษจริง ๆ !”
คู่สามีภรรยาสูงอายุสบตากันแวบหนึ่ง ต่างมองออกว่าทำไมอีกฝ่ายร้องไห้
คุณท่านเช็ดน้ำตาให้แห้งก่อน แล้วกอดนายหญิงใหญ่ไว้ในอ้อมกอดเบา ๆ พูดปลอบใจเหมือนโอ๋เด็ก : “เอาล่ะ ๆ ไม่ร้องไห้แล้วนะ ไม่ร้อง วันนี้เป็นวันมงคล เราสองคนอย่าร้องไห้ต่อหน้าเฉินเอ๋ออีกเลย !”
นายหญิงใหญ่ปาดน้ำตาไปด้วย และพยักหน้าซ้ำ ๆ พร้อมกันพูดฝืนยิ้มไปด้วย : “ไม่ร้องแล้ว ไม่ร้องแล้ว เฉินเอ๋อหิวแล้ว เรารีบไปกินข้าวกัน ! อาหารมื้อนี้ ฉันคอยมายี่สิบปี หนึ่งนาทีก็รออีกไม่ได้แล้ว !”