ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 2929
และในขณะที่ซูจือหยูรับรู้ได้ถึงการคิดทบทวนอย่างหนักของเย่เฉิน กู้ชิวอี๋เพิ่งจะฝึกซ้อมครั้งสุดท้ายเสร็จ เธอที่อยู่บนเวที ได้ทบทวนบทเพลงที่จะขับร้องเย็นพรุ่งนี้ทั้งหมดร้องหนึ่งรอบ ทว่าโชคดีที่ไม่ต้องให้เธอขับร้องอย่างเปลืองแรง เพราะว่าเป้าหมายของการฝึกซ้อม คือการยืนยันขั้นตอนและรายละเอียดของคอนเสิร์ตทุกอย่าง โดยเฉพาะแสงไฟ ลำโพง การเต้น รวมถึงวงดนตรีบรรเลงประกอบในวันงาน นักแสดงเต้นประกอบด้วย
หลังจากที่ยืนยันว่าทุกกระบวนการไม่มีตำหนิและข้อบกพร่องแล้ว กู้ชิวอี๋จึงได้มีความมั่นใจในคอนเสิร์ตวันพรุ่งนี้ยิ่งขึ้น
เฉินตัวตัวเดินขึ้นบนเวทีในเวลานี้ พร้อมยื่นขวดน้ำไปให้กู้ชิวอี๋ เอ่ยชื่นชมว่า: “ชิวอี๋ มุมมองของเวทีและผลลัพธ์ของเสียงมันสุดยอดไปเลยจริงๆ ! แต่เกินกว่าทุกคอนเสิร์ตในเมื่อก่อนของเธอ กระทั่งว่าในความทรงจำของฉันไม่เคยเห็นคอนเสิร์ตที่มีประสิทธิภาพการแสดงสุดยอดแบบนี้มาก่อนเลย!”
กู้ชิวอี๋ฉีกยิ้ม เอ่ยอย่างจริงจัง: “เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้ทุกคนที่ทำงานกันอย่างหนัก”
สิ้นเสียง เธอก็เอ่ยอย่างซาบซึ้งใจ: “มีรากฐานที่ดีขนาดนี้ พรุ่งนี้จะต้องฉลองวันเกิดที่ลืมไม่ได้ให้พี่เย่เฉินแน่นอน!”
เฉินตัวตัวเบ้ปาก: “รู้จักแต่พี่เย่เฉินของเธอนั่นแหละ เธออย่าลืมล่ะ เย็นพรุ่งนี้ภรรยาของเขาก็จะมาดูคอนเสิร์ตด้วย!”
กู้ชิวอี๋ยิ้ม เอ่ยว่า: “แล้วจะยังไงล่ะ ในใจของฉัน คอนเสิร์ตในวันพรุ่งนี้ก็เพื่อให้พี่เย่เฉินดูคนเดียว คนอื่นล้วนเป็นตัวประกอบที่ไม่สำคัญทั้งนั้น”
สิ้นเสียง เธอจึงสบถอย่างอดไม่ได้: “ไม่พูดไม่ได้ว่า แสงไฟ ลำโพง อุปกรณ์ที่ซูจือเฟยเตรียมมาชุดนี้ เกินกว่าที่ฉันคาดการณ์ไว้เยอะมาก ถ้าได้ใช้อุปกรณ์พวกนี้ในการเปิดคอนเสิร์ต มันฟุ่มเฟือยมากเกินไปจริงๆ “
“ใช่น่ะสิ!” เฉินตัวตัวมุ่ยปาก เอ่ยว่า: “แสงไฟคือการทุ่มเทในด้านนี้ สูงกว่ารายได้ของคอนเสิร์ตครั้งนี้ซะอีก นอกจากเวทีซูเปอร์อย่างโอลิมปิก ไม่มีใครที่จะตัดใจทุ่มต้นทุนที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ในคอนเสิร์ตได้ ถ้าไม่ใช่เพื่อเอาใจเธอ ซูจือเฟยคงไม่มีทางที่จะทุ่มเงินทุนเยอะขนาดนี้”
พูดถึงตรงนี้ เฉินตัวตัวอยู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมา จึงได้เอ่ยอย่างลึกลับ: “นี่ ชิวอี๋ เธอรู้ไหม ซูจือเฟยคนนั้น เพิ่งประกาศการตัดสินใจหนึ่งบนอินเทอร์เน็ต…”
กู้ชิวอี๋รีบเอ่ยถาม: “การตัดสินใจอะไรเหรอ?”
เฉินตัวตัวเอ่ยอย่างจริงจัง: “ไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่สมองถูกกระทบกระเทือนหรือเปล่า อยู่ๆ ก็ประกาศว่าจะเดินทางจากจินหลิงไปยังวัดต้าจาวชายแดนภาคตะวันตกเฉียงใต้เพื่อแสวงบุญ อีกทั้งยังใช้การเดินสามก้าวแล้วนอนกราบหัวแตะพื้น ไปจนถึงจุดหมายด้วย นี่มันเป็นระยะทาง 4,000 กิโลเมตรเชียวนะ! ระดับความยากใกล้จะเทียบเท่าพระถังซัมจั๋งตามหาพระไตรปิกฎที่ทิศตะวันตกเสียอีกนะ!”
กู้ชิวอี๋เอ่ยถามด้วยความสงสัยอย่างถึงที่สุด: “เขาบ้าไปแล้วเหรอ? ทำไมอยู่ๆ ถึงตัดสินใจทำอะไรที่มันแปลกประหลาดแบบนี้ด้วยล่ะ?”
เฉินตัวตัวเอ่ย: “นี่ยังไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกที่สุดนะ ที่แปลกท่ีสุดคือ เจ้าหมอนี่ด่าปู่และพ่อของตัวเองอย่างหยาบคาย บอกว่าพวกเขาบาปหนา ตนไปแสวงบุญก็เพื่อช่วยชำระบาปให้กับพวกเขา เธอว่าคนคนนี้บ้าขาดสติไปแล้วหรือเปล่า? คนปกติจะกล้าทำเรื่องที่ขาดสติปัญญาแบบนี้ออกมาได้เหรอ?”
“อีกอย่าง พรุ่งนี้ก็เป็นวันคอนเสิร์ตของเธอแล้ว หมอนี่วุ่นวายกับเรื่องนี้ตั้งนาน ทุ่มแทไปเยอะมากก็เพื่อรอคอนเสิร์ตครั้งนี้ไม่ใช่หรือไง? ถ้าตามที่เขาว่า พรุ่งนี้เข้าเดินทางไปยังวัดต้าจาว ถ้างั้นคอนเสิร์ตตอนเย็นก็คงคิดจะไม่มาดูแล้ว”
กู้ชิวอี๋ก็รู้สึกว่าไม่เข้าใจยิ่ง แม้ตนจะไม่คุ้นเคยกับซูจือเฟยนัก ทว่าสถานการณ์เหล่านี้มันแตกต่างไปจากสไตล์ซูจือเฟยคนละขั้วจริงๆ ทำให้เธอสงสัยเป็นอย่างมาก
ขณะที่กำลังฉงนใจอยู่นั้น อยู่ๆ เธอก็นึกถึงเย่เฉินขึ้นมา ดังนั้นจึงรีบควักโทรศัพท์ออกมา ส่งวีแชทไปหาเย่เฉิน: “พี่เย่เฉิน เรื่องของซูจือเฟยเกี่ยวข้องกับพี่หรือเปล่า?”
เย่เฉินได้รับข้อความ จึงตอบเธอกลับไปเป็นอีโมจิรูปหัวหมา จากนั้นตอบไปอีกว่า: “เธอคิดว่าไงล่ะ?”
กู้ชิวอี๋ส่งอีโมจิมือปิดปากหัวเราะ จากนั้นส่งกลับไป: “ต้องเป็นพี่แน่!”
เย่เฉินก็ไม่ได้ปฏิเสธ ตอบเธอกลับ: “ครั้งนี้เจ้าหมอนั่นเล่นเกินไปแล้ว วันนี้หลังจากที่ส่งเธอไปยังสนามกีฬา เขาก็ให้ตรวจสอบทะเบียนรถของฉัน แถมยังแจ้นมาตี้เหากรุ๊ป แสดงยกใหญ่เพื่อต้องการมาเจอหน้าฉัน ดังนั้นฉันก็เลยให้บทลงโทษเล็กๆ กับเขาไป”
กู้ชิวอี๋ส่งอีโมจิ โกรธไป จากนั้นเอ่ยว่า: “เจ้าหมอนี่ทำไมต้องตรวจสอบทะเบียนรถของพี่เย่เฉินด้วย? หรือเป็นเพราะเห็นว่าฉันลงมาจากรถของพี่เย่เฉินเหรอ?”
“น่าจะใช่นะ” เย่เฉินยิ้ม เอ่ยว่า: “อาจเพราะแอบรักเธอมาตลอด เพราะงั้นเลยโมโหขาดสติไปละมั้ง”