ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 3101
หลังจากนั้น ผู้ช่วยกล่าวอีกครั้งว่า “ทหารระดับรากหญ้าของสำนักว่านหลงเป็นทหารรับจ้างที่ค่อนข้างจะไร้เดียงสา พวกเขาฝึกฝนและต่อสู้อย่างหนัก ก็เพื่อที่จะมีรายได้เพิ่ม และเพื่อจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข มิเช่นนั้น คุณคิดว่าจะมีใครกล้าทำงานที่เสี่ยงแบบนี้?”
เฉินจงเหล่ยพูดอะไรไม่ออกชั่วขณะหนึ่ง
เขารู้สถานการณ์ปัจจุบันของสำนักว่านหลงเป็นอย่างดี
ถึงแม้สำนักว่านหลงจะมีสี่ราชันสงครามและนายพลหลายร้อยคน แต่สำนักว่านหลงยังมีทหารธรรมดาหลายหมื่นคน ซึ่งเกือบทั้งหมดเข้ามาเป็นสมาชิกของสำนักว่านหลงเพื่อแสวงหาผลประโยชน์
ทหารรับจ้างเหล่านั้น ไม่มีความจงรักภักดีต่อสำนักว่านหลงแต่อย่างใด ทุกคนคิดว่ารายได้ ขนาดที่ใหญ่ขององค์กร และชื่อเสียงของสำนักว่านหลงนั้นไม่เลว ดังนั้นจึงเลือกมาทำงานกับสำนักว่านหลง
ดังนั้น คนกลุ่มนั้นจะไม่กล้ำกลืนความอัปยศอดสูเพื่อที่จะดำเนินให้ภารกิจที่หนักอึ้งนั้นสำเร็จและก้าวไปข้างหน้าเพื่ออนาคตของสำนักว่านหลง
สิ่งที่พวกเขาสนใจคือตนเอง
ขณะนี้ ผู้ช่วยของเขากล่าวอีกครั้งว่า “ส่วนเรื่องที่พัก ความจริงนั้นพอจะเข้าใจได้ คุณลองคิดดู พวกเราไม่รู้ว่าจะต้องโอบล้อมเช่นนี้ไปอีกนานแค่ไหน ถ้าเป็นสามถึงห้าวัน หรือครึ่งเดือน ทุกคนน่าจะยอมรับและอดทนพักอยู่ในกระโจมได้ ถึงแม้จะไม่มีไฟฟ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าต้องใช้ชีวิตแบบนี้ยาวนานต่อเนื่องสองสามเดือนหรือกระทั่งนานกว่านั้น ทุกคนคงไม่เต็มใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ในกระโจมนานหลายเดือนแน่นอน…”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ผู้ช่วยเตือนว่า “จอมพล ซีเรียนั้นกำลังจะถึงฤดูร้อนในเร็ว ๆ นี้ อุณหภูมิตอนกลางวันจะอยู่ที่ 37 – 38 องศา หรือ 40 องศา เมื่อพักอาศัยอยู่ในกระโจมนั้นอาจจะทำให้ทุกคนจะทนไม่ไหว……. ”
คำพูดของผู้ช่วย ทำให้เฉินจงเหล่ยรู้สึกเครียดเป็นอย่างมาก
วิธีแก้ปัญหาเรื่องอาหารนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เขาสามารถซื้ออาหารจากอิสราเอลได้ ไม่ว่าจะเป็นสเต๊ก ผัก และนม อิสราเอลสามารถจัดหามาได้ เพียงแค่จ่ายเงินเพิ่มหนึ่งล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน
เพียงแต่ บ้านสำเร็จรูปนั้นเป็นปัญหาที่แก้ไขยากมาก
ถึงแม้ว่าบ้านสำเร็จรูปมีลักษณะเหมือนกับที่ใช้ในไซต์ก่อสร้างในประเทศ แต่ไม่เหมือนกันทั้งหมด ไม่เพียงแต่กระบวนการก่อสร้างจะซับซ้อนมากกว่าเท่านั้นและยังมีฟังก์ชันมากกว่า และต้นทุนการผลิตก็เพิ่มขึ้นหลายเท่า
ถ้าต้องการให้คน 15,000 คน อาศัยอยู่ในบ้านแบบนี้ และมีพลังไฟฟ้าที่มั่นคง ต้นทุนค่าใช้จ่ายเช่นนี้อย่างน้อยก็หลายสิบล้านดอลลาร์สหรัฐ
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เฉินจงเหล่ยหมดหนทาง ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงกัดฟันและบอกผู้ช่วยว่า “คุณกลับไปบอกพวกเขา ให้พวกเขาอดทนหน่อย หลังวันที่ 5 เมษายน บางทีประมุขอาจจะมาซีเรียเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ด้วยตัวเอง เมื่อเป็นเช่นนั้น อย่างมากสุดทุกคนอดทนยืนหยัดอีกหนึ่งสัปดาห์กว่าเท่านั้น!”
เมื่อเฉินจงเหล่ยอ้างถึงว่านพั่วจวิน ถือว่าได้สามารถแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าสำหรับความต้องการของคนเหล่านี้ไปได้ชั่วคราว แต่ในใจของเขายังคงสับสนและกังวลเรื่องนี้
สำหรับเขาแล้ว เขาไม่ต้องการให้ว่านพั่วจวินมาแก้ปัญหาเรื่องนี้ เพราะเมื่อเป็นเช่นนั้น นั่นหมายความว่าตนเองล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในซีเรีย
ดังนั้น เขาจึงยังคงหวังว่าจะหาทางแก้ปัญหาในซีเรียด้วยตนเองได้
เช่นนี้ ยังคงสามารถรักษาสถานะของตนเองในฐานะราชันสงครามได้
เมื่อผู้ช่วยฟังถึงตรงนี้ อดไม่ได้ที่จะกล่าวด้วยความกังวลว่า “จอมพล หรือว่าเรื่องนี้จะให้ประมุขมาแก้ปัญหาด้วยตนเอง? เมื่อเป็นเช่นนั้น จะเกิดผลเสียสำหรับพวกเรา!”
เฉินจงเหล่ยกล่าวด้วยความกลัดกลุ้มว่า “ถ้าพวกเราไม่มีวิธีที่ดีในการจัดการฮามิด เมื่อถึงเวลานั้นต่อให้ผมไม่ต้องการให้ประมุขมาที่นี่ ประมุขก็จะไม่สนใจผม!”
ทันทีที่กล่าวจบ ผู้บัญชาการกองทัพของรัฐบาลก็รีบเข้ามาและกล่าวโพล่งออกมา “เฉิน ฮามิดส่งคนมาบอกผมว่าเขาต้องการเจรจาสงบศึก!”