ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 3272
เมื่อได้ยินเสียงที่เย่เฉินเยาะเย้ย ก็ทำให้ลู่เห้าเทียนทั้งโกรธทั้งอาย
เห็นดวงตาขี้เล่นของเย่เฉิน ในส่วนลึกของหัวใจ ก็เกิดความรู้สึกกลัวที่รุนแรงเพิ่มขึ้นอีก
เขาพูดทันทีว่า: “นี่มัน……เป็นไปไม่ได้! เสือเทพออกโรงของฉัน แม้แต่นักบู๊แปดดาวก็ไม่สามารถรับมือกันได้ง่ายๆ! สรุปว่าแกทำมันได้อย่างไรกัน?!”
คำพูดของลู่เห้าเทียน ได้ถามคำถามในใจของทุกคนในสำนักว่านหลงรวมถึงว่านพั่วจวินด้วย
ทุกคนต่างก็คิดไม่ถึง ว่าการโจมตีอย่างเต็มกำลังของลู่เห้าเทียน อ่อนแอโคตรๆเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่เฉิน
โลกแห่งศิลปะการต่อสู้อันยาวนานของพวกเขาถูกโค่นล้มอย่างสิ้นเชิง ไม่เคยคิดฝันว่าจะมีปรมาจารย์ที่ทรงพลังเช่นนี้ในโลกนี้
และว่านพั่วจวินในตอนนี้ ก็ได้ตระหนักอย่างชัดเจนว่าเขาได้เตรียมแผนการแก้แค้นมา 20 ปีแล้ว และเขาอาจจะประกาศความล้มเหลว โดยที่เขายังไม่ได้ลงมือจริงๆ
เมื่อเผชิญหน้ากับ “เสือเทพออกโรง” กระบวนท่าของลู่เห้าเทียนนั้น ท่าทีของเย่เฉิน มองไม่ออกถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาเลย ว่าแท้จริงแล้วเขาอยู่ในระดับไหน!
มันเหมือนกับการยกน้ำหนัก เมื่อนักกีฬายกน้ำหนักสูงสุดที่เขาสามารถทำอย่างสุดกำลัง ถึงแม้คนที่อยู่นอกวงการกีฬาก็สามารถบอกได้จากสภาพร่างกาย สภาพที่แสดงออกมา ก็ดูออกว่าเขาพยายามอย่างสุดฝีมือแล้ว
ถ้าคู่ปรับของคุณมีน้ำหนักที่มากกว่า และดูเหมือนว่าจะทำเต็มกำลังที่สุดแล้ว หรือใช้แรงอย่างมากไปแล้ว ใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว งั้นคุณก็สามารถตัดสินระดับที่แท้จริงของเขาได้โดยประมาณ
แต่ว่า ถ้าหากคู่ปรับของคุณใช้มือแค่ข้างเดียว ก็สามารถยกน้ำหนักของคุณได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าเลย งั้นคุณก็ไม่รู้เลยว่าขีดจำกัดของเขาอยู่ที่ไหน เขาออาจจะยกได้มากกว่าสองเท่าด้วยมือเดียวก็ได้ บางทีสองมือสามารถยกได้สี่เท่า แปดเท่า หรือสิบแปดเท่าของน้ำหนัก
แต่เนื่องจากนับตามมาตรฐานของลู่เห้าเทียน ยังด้อยกว่าเขาอีกไกล ดังนั้นใครๆก็ไม่รู้ว่าเย่เฉินนั้นแข็งแรงมากเท่าไหร่
เย่เฉินยิ้มอย่างเย็นชาในตอนนี้ และพูดเบาๆว่า: “อ่อนแอจนเหมือนหมา ยังมีหน้าจะมาเรียกว่า เสือเทพออกโรง อีกเหรอ? เปลี่ยนชื่อเถอะ เรียกว่ามดออกจากรูดีกว่า!”
ว่านพั่วจวินมองเย่เฉินอย่างหวาดผวาอย่างมาก มีเพียงความรู้สึกเดียวในใจ ลึกจนไม่เห็นก้นบึ้ง
ถึงแม้ว่าเป็นอาจารย์ผู้มีพระคุณของว่านพั่วจวิน จู่ซือทั้งหมดของสำนักว่านหลง ก็ไม่สามารถแข็งแกร่งได้เท่านี้
เพราะอาจารย์ผู้มีพระคุณของเขา หยุดชะงักอยู่ในแดนสว่างไปเป็นเวลา 30 ปีแล้ว ก็ไม่สามารถทะลวงได้เลย
สำหรับนักรบทั่วไป การทะลวงแดนเล็กนั้นยากพอๆกับอยู่บนฟ้า ไม่ต้องพูดถึงแดนใหญ่เช่นนี้
การผ่านเส้นลมปราณเริ่นและเส้นลมปราณตู สิ่งนี้ขัดขวางนักบู๊มากมาย และสามารถผ่านเส้นลมปราณเส้นที่สี่จนกระทั่งเส้นที่ห้าเส้นที่หก ซึ่งมันน้อยมาก นักบู๊แปดดาวหายากยิ่งกว่า
และต้องการให้นักบู๊แปดดาว ก้าวกระโดดไปสู่ปรมาจารย์แดนมืดนั่นก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ยากกว่าอีก
แต่ว่า เพื่อให้ได้พละกำลังถึงที่เย่เฉินแสดงออกมา อย่างน้อยก็ต้องเป็นยอดฝีมือแดนมืดในตำนานถึงจะเป็นไปได้
ดังนั้น ว่านพั่วจวินตระหนักได้ว่า ความแข็งแกร่งของเย่เฉิน จะต้องก้าวเข้าสู่แดนมืดแล้ว แม้ว่าอาจารย์ผู้มีพระคุณของตัวเองจะอยู่ที่นี่ ก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
ยิ่งกว่านั้น อาจารย์ผู้มีพระคุณมองหาการบุกทะลวง 5 ปีก่อนก็เริ่มเดินทางรอบโลก วันนี้เขาอยู่ที่ไหน แม้แต่เขาก็ยังไม่รู้เลย
ในตอนนี้ ลู่เห้าเทียนแม้ว่าพยายามสลัดให้หลุดอย่างรุนแรงมาตลอด แต่หมัดของเขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เลย
เขามองเย่เฉินด้วยดวงตาที่หวาดกลัว และถามอย่างกังวลใจว่า: “คุณ……คุณคือใครกันแน่?!”
เย่เฉินเงยหน้า พูดเบาๆ : “ฉันบอกแล้วไง ฉันชื่อเย่เฉิน”
พูดจบ เย่เฉินยิ้มและถามเขา: “ลู่เฮ่าเทียน เมื่อวานคุณตะโกนว่าอยากฆ่าฉันไม่ใช่เหรอ? ทำไม หรือว่านี่คือพลังทั้งหมดที่คุณมีแล้ว?”
ลู่เห้าเทียนยิ่งหวาดกลัวขึ้นไปอีก เขากลัวว่าเย่เฉินฆ่าเขาตายทันที จึงอ้อนวอนโดยไม่รู้ตัวว่า: “คุณเย่! ฉันมีตาหามีแววไม่! ขอได้โปรด ไว้ชีวิตฉันสักครั้ง……”
“ไว้ชีวิตแกเหรอ?” เย่เฉินเงยหน้าและถามอย่างเย็นชา: “ก่อนหน้านี้คนที่เคยโดนแกฆ่า เขาเคยขอให้แกไว้ชีวิตพวกเขาไหม? แล้วแก เคยไว้ชีวิตใครบ้างไหม?”