ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 3288
แม้ว่าเส้นลมปราณของว่านพั่วจวินจะเสียหายไปหมดแล้ว แต่ใช้มีดฆ่าตัวตายก็ยังถือว่าง่ายสำหรับเขา
การทิ่มแทงครั้งนี้ของเขา ใช้แรงทั้งหมด โหดร้ายอย่างมาก เพราะว่าเขาคิดเพียงแค่ว่า ใช้เพียงการแทงครั้งนี้ จบชีวิตของตัวเองให้เร็วที่สุด
ที่ทำอย่างรุนแรงอย่างนี้ เป็นเพราะว่าเขาไม่อยากให้คนมากมายขนาดนี้เห็นตัวเองชักดิ้นอยู่นานแล้วค่อยตายไปอย่างน่าเวทนา
เขาในเวลานี้ ได้เตรียมใจที่จะตายมานานแล้ว
ส่วนพลทหารของสำนักว่านหลง ต่างก็รู้ดีว่านี่คือสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้ว ไม่มีใครสามารถพลิกผันได้
แต่ในตอนที่มีดสั้นในมือของว่านพั่วจวินได้ทิ่มแทงเข้าไปในชุดไว้ทุกข์ แทงเข้าโดนผิวหนังตรงหัวใจของว่านพั่วจวิน แล้วแทบจะแทงเข้าไปในหัวใจของเขา เย่เฉินก็ใช้ปลายเท้าถีบออกไปเบาๆทีหนึ่ง แรงปราณทิพย์หนึ่งก็ได้เตะเข้าไปที่มีดสั้นเล่มนั้นอย่างรวดเร็ว
ตามมาด้วย ในตอนที่ว่านพั่วจวินใช้มีดสั้นเล่มนั้นทิ่มแทงเข้าที่หัวใจอย่างเฉียบขาด ทันใดนั้นมีดสั้นที่อยู่ตรงหน้าอกของเขาก็สลายเป็นผง แตกละเอียดในพริบตา และลอยหายไปในอากาศ!
วินาทีนี้ ทุกคนต่างก็อึ้งกันไปหมด ตัวว่านพั่วจวินเองก็ยิ่งไม่อยากจะเชื่อ!
เขาพบว่ามีดสิ้นในมือได้หายไป เมื่อก้มมองดู ก็เหลือเพียงผุยผงละเอียดอยู่ภายในฝ่ามือ!
สมองของเขาตอบสนองไม่ทัน หนึ่งคือไม่รู้ว่ามีดสั้นเล่มหนึ่ง ทำไมถึงถูกเย่เฉินเตะเพียงเบาๆก็กลายเป็นผุยผง สองคือไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเย่เฉินถึงช่วยตัวเขาในเวลานี้
เขาเงยหน้าขึ้น มองดูเย่เฉินที่มีสีหน้านิ่งเฉย ถามออกไปว่า “คุณ…คุณเย่….คุณจะ….”
เย่เฉินพูดนิ่งๆว่า “เมื่อวานตอนที่ลู่เห้าเทียนมาหาเรื่องถึงบ้าน คุณปู่ของฉันเคยพูดเรื่องในอดีตเรื่องหนึ่งกับเขา”
พูดแล้ว เย่เฉินก็มองว่านพั่วจวิน เอ่ยปากพูดว่า “นายรู้มั้ย ว่าในตอนนั้นที่พ่อฉันรู้ว่าพ่อนายกระโดดตึกตาย เคยพูดว่าอะไรมั้ย?”
ว่านพั่วจวินส่ายหัวด้วยสีหน้ามึนงง พูดเสียงเบาว่า “ผมไม่รู้ครับ….รบกวนคุณเย่บอกด้วยครับ!”
เย่เฉินหันมองไปไกลทางด้านสุสานของพ่อแม่ แล้วพูดเสียงเบาว่า “พ่อของฉันพูดว่า ฉันไม่ได้ฆ่าเขา แต่เขากลับตายเพราะฉัน แม้ว่าเขาจะชนะพ่อนายอย่างโปร่งใส แต่หลังจากที่ได้ยินว่าพ่อของนายตายไปแล้ว ก็ยังรู้สึกผิดต่อเรื่องนี้ อย่างที่ว่าผู้ที่เห็นอกเห็นใจ ก็คงจะหมายถึงคนอย่างเขา”
ว่านพั่วจวินพูดอย่างละอายใจมากว่า “พ่อของคุณ…มีความชอบธรรมจริงๆ…..ผมในตอนนั้นยังอายุน้อย แต่ก็เคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเขามามาก คนมากมายเวลาพูดถึงเขาต่างก็มีความเคารพนับถืออย่างมาก….”
“ใช่แล้ว!” เย่เฉินพยักหน้า แล้วก็พูดนิ่งๆว่า “ว่านพั่วจวิน นายนับได้ว่ากตัญญูมากๆ แต่ในสายตาของฉัน นับได้แค่กตัญญูเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เพราะอะไรนายรู้มั้ย?”
ว่านพั่วจวินส่ายหัว “กระผมของให้คุณอย่างชัดเจนด้วยครับ….”
เย่เฉินพูดอย่างจริงจังว่า “กตัญญูคำนี้ ถ้าหากว่าเข้าใจเพียงแค่การแก้แค้นให้พ่อแม่ หรือเพียงแค่เลี้ยงดูพ่อแม่จนแก่ตายไป ก็จะดูผิวเผินเกินไป เพราะว่านายละเลยสิ่งที่สำคัญมากกว่า!”
พูดแล้วเย่เฉินก็พูดอีกว่า “หัวเซี่ยมีประวัติศาสตร์อันดีงามนับห้าพันปี ถ้าหากว่าจะย่อจริงๆ งั้นก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่าการสืบทอด!”
“การสืบทอด เปิดออกมาดู ก็คือสืบทอดและส่งต่อ พูดแล้วก็คือทุกคนควรจะทำการสืบทอดส่งต่อให้ได้ แต่ไม่ใช่ปล่อยให้ทุกอย่างจบลงที่นายแล้วไม่เหลือใครอีก”
“ผู้คนพูดว่าต้องสืบสานความรู้ของนักปราชญ์ไม่ให้หายไป ก็คือการสืบทอดส่งต่อปรัชญาและปัญญาของบรรพบุรุษต่อไป”
“คนธรรมดาคงจะทำไม่ได้มากถึงการที่สืบสานความรูของนักปราชญ์ แต่อย่างน้อยก็ต้องทำให้ได้ถึงการเป็นผู้ส่งต่อ ส่งต่อความรู้ที่นายเรียนรู้ได้จากอาจารย์ของนาย พ่อแม่ของนาย ให้กับลูกหลานของนาย”
“ถ้าหากว่าแม้แต่การส่งต่อสิ่งที่เรียนรู้มาก็ทำไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องสืบทอดส่งต่อสายเลือดที่พ่อแม่นายให้นายมา แต่ไม่ใช่ตัดชาติตระกูลของตัวเองทิ้งไป”
พูดถึงนี่ เย่เฉินเห็นว่าว่านพั่วจวินน้ำตาไหลนองหน้าอีกครั้ง จึงได้เงียบไปเล็กน้อย แล้วก็พูดต่อไปว่า “นายคิดดู สิ่งที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของนาย ไม่ใช่เพียงแค่สายเลือดของพ่อแม่นาย แต่เป็นสองตระกูลของพ่อแม่นาย เป็นสายเลือดที่สืบทอดส่งต่อกันมานับพันปี! สายเลือดพวกนี้เคยสู้รบมานับครั้งไม่ถ้วน แล้วอยู่รอดมาได้ สืบสานมาจนถึงวันนี้ แต่ตอนนี้ กลับต้องขาดหายไปที่ตัวนาย นายคิดว่านายไปเจอพ่อแม่ของนายแบบนี้ ไปอยู่กับพ่อแม่ของนายแบบนี้ พ่อแม่ของนายรับรู้ จะให้อภัยนายได้มั้ย?”
ว่านพั่วจวินฟังมาจนถึงนี่ ร้องไห้สะอื้นอย่างหนัก ละอายใจจนถึงขั้นไม่กล้าเงยหน้า
เย่เฉินมองการเปลี่ยนแปลงของเขาไว้ในสายตา แล้วพูดต่อไปว่า “นายไม่มีลูกหลาน หากนายตายไป ถึงแม้จะมีพี่น้องพวกนี้แล้วยังไง?”
“ตอนที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ พวกเขาอาจจะยังมาทำความสะอาดสุสานของนายกับพ่อแม่ของนาย เพราะนายมีบุญคุณต่อพวกเขา แต่เมื่อพวกเขาตายไป ลูกหลานพวกเขาไม่เคยเจอนายด้วยซ้ำ คงไม่มีทางวิ่งมาไกลถึงนี่เพื่อเคารพศพครอบครัวนายหรอก”
“หากเป็นอย่างนี้ หลังจากนี้สักพันปี สุสานตระกูลว่านของนาย ก็กลายเป็นไม่ต่างจากสุสานร้างแล้วละ”
“แล้วหากเจอกับการพัฒนาที่ดิน ภัยพิบัติต่างๆ กระดูกของนายทั้งบ้านก็คงจะไม่มีใครมาเก็บ”
“หากเป็นอย่างนั้น มันจะต่างอะไรกับการนำกระดูกไปเผาทิ้งละ?”