ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 3289
ว่านพั่วจวินฟังมาจนถึงนี่ ก้มหน้าไว้ ทั้งร่างกายสั่นไหว น้ำตาไหลรินลงพื้นไม่หยุด
เขาเองก็อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อ
แต่ว่า เขากลัวว่าเย่เฉินจะไม่ให้เขามีชีวิตอยู่ และก็ไม่ให้พวกลูกน้องของเขามีชีวิตอยู่ บวกกับที่จะรักษาศพและความสงบสุขของพ่อแม่ เขาทำได้เพียงเลือกความตาย
แต่ว่า จู่ๆในใจของเขาก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา “เมื่อกี้จู่ๆเย่เฉินก็ทำให้มีดสั้นในมือของฉันกลายเป็นผุยผง หรือว่า หรือว่าเขาจะไว้ชีวิตฉัน?!”
แต่ว่า ไม่นาน ว่านพั่วจวินก็สลดใจ “ฉันคงจะคิดมากไปแล้ว ฉันเสียมารยาทต่อพ่อแม่ของเย่เฉินขนาดนั้น เขาจะไว้ชีวิตฉันได้ยังไงกัน? ถ้าเปลี่ยนฉันให้เป็นเขา ฉันคงจะฆ่าตัวเองไปนานแล้ว…”
ในเวลานี้เย่เฉินพูดต่อว่า “ว่านพั่วจวิน นายต้องรู้ไว้ คนจะต้องตายอยู่แล้ว แต่เมื่อตายไปแล้วต้องพยายามให้มีคนจดจำไว้ ถึงจะสามารถพิสูจน์ได้ว่าตัวเองเคยมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้”
“นักปราชญ์และทหารผู้เสียสละพวกนั้น ตายไปนับร้อยพันปี ก็ยังมีคนจดจำได้เสมอ นี่คือความหมายที่มากที่สุดที่คนเคยได้มีชีวิตอยู่”
“คนธรรมดาถึงแม้จะไม่สามารถเป็นนักปราชญ์หรือผู้เสียสละได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถทิ้งชื่อตัวเองไว้ในรายชื่อตระกูล ให้ลูกหลานสามารถจดจำไว้ ก็เหมือนกับตระกูลเย่ของฉัน รายชื่อตระกูลสืบทอดมานับร้อยปี บรรพบุรุษทุกท่านล้วนมีชื่อทิ้งไว้ในรายชื่อตระกูล นี่ ก็คือหลักฐานการเคยมีตัวตนอยู่ของพวกเขา และถ้าหากตระกูลเย่ของฉันรุ่งโรจน์ ชื่อของพวกเขาก็จะไม่มีทางถูกผู้คนลืมเลือน!”
พูดถึงนี่ เย่เฉินมองไปยังว่านพั่วจวิน พูดนิ่งๆว่า “แต่ว่า ถ้าหากนายตายไปวันนี้ ชื่อของพ่อแม่นาย ก็จะถูกกลบลงดินพร้อมกับนาย!”
“บางทีนายที่เป็นประมุขของสำนักว่านหลง หลังจากตายไปหลายสิบปี ก็ยังมีคนจดจำนายได้ แต่ใครจะจดจำพ่อแม่นายได้ละ? พวกเขาก็จะถูกทอดทิ้งไปในสายน้ำของประวัติศาสตร์ และไม่ถูกใครนึกขึ้นได้อีกต่อไป ไม่น่าเศร้าหรอ?”
วินาทีนี้ว่านพั่วจวินละอายใจจนถึงที่สุดแล้ว!
เดิมที เขาได้เตรียมใจตายไปอย่างละอายแล้ว แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่า ถ้าหากตัวเองตายไปอย่างนี้ ตายไปก็ไม่มีหน้าไปหาพ่อแม่รวมทั้งบรรพบุรุษตระกูลว่าน!
ฟังคำพูดพวกนี้ของเย่เฉิน สำหรับเขาแล้ว เป็นการทำร้ายจิตใจกันชัดๆ!
ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดมากกว่าการตายเป็นหมื่นเท่า!
เดิมที เขายังคิดว่าการตายเป็นการปลดปล่อยอย่างหนึ่ง และเป็นการไถ่ถอนตัวเองอย่างหนึ่ง
แต่เขาในตอนนี้ กลับคิดได้ว่า การตายไม่เพียงแต่ไม่ใช่การปลดปล่อย ไม่ใช่การไถ่ถอนแล้ว กลับยังละอายต่อพ่อแม่บรรพบุรุษอีกด้วย!
เพราะว่าการตายของเขา จะทำให้พ่อแม่รวมทั้งบรรพบุรุษ หายไปจากประวัติศาสตร์จนหมดสิ้น!
และก็จะทำให้ตระกูลว่านที่สืบทอดมานับพันปี ทนลำบากทุกข์ยากมา ต้องหายไปอย่างไร้ร่องรอย!
ทำให้ทั้งตระกูล ไม่เหลือหลักฐานและความหมายที่เคยมีอยู่เลย!
คิดถึงนี่ จิตใจของเขาเหมือนตายทั้งเป็น
ฉะนั้นเขาจึงเงยหน้าขึ้น ใช้ดวงตาที่บวมแดง มองเย่เฉินด้วยความเคารพนับถือ พูดอ้อนวอนขอร้องอย่างเคารพ “คุณเย่ครับ! กระผมยินดีสละทุกอย่าง! ขอเพียงคุณให้ความเมตตา มอบโอกาสที่กระผมจะได้ให้ความกตัญญูกับผม! กระผมขอสาบานแทนพ่อแม่รวมทั้งบรรพบุรุษตระกูลว่าน ว่านชีวิตนี้จะเป็นขี้ข้าให้กับคุณเย่ พยายามให้เต็มที่ ทนลำบากทุกอย่าง ไม่ตายไม่เลิกครับ!!!”
เย่เฉินรู้ ว่าถ้าหากจะฆ่าว่านพั่วจวิน ก็จะต้องฆ่าทิ้งให้หมดเกลี้ยง แต่ถ้าไม่ฆ่าเขา แล้วเก็บเขามาใช้ ก็จะต้องทำให้เขาเป็นคนใหม่!
ยังไงซะคนๆนี้ก็เป็นประมุขของสำนักว่านหลง ใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศคนเดียวมายี่สิบปี สามารถสร้างรากฐานมาได้ขนาดนี้ คนๆนี้จะต้องเป็นคนมีความสามารถโดดเด่นแน่นอน
ถ้าหากตัวเองใช้เพียงความแข็งแกร่งมาเหยียบย่ำและข่มขู่เขา อย่างนั้นความอวดดีและไม่พอใจในกระดูกของเขาก็คงจะยังอยู่ จิตใจที่จะลุกขึ้นสู้หากผ่านไปนานหลายปีจะต้องถูกปลดปล่อยออกมาแน่ แล้วก็มายืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับตัวเองอีกครั้ง
ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุด ก็คือทำลายความเชื่อมั่นของคนๆนี้ทิ้งไปให้จนหมด!
นายรู้สึกว่านายเก่งไม่ใช่หรอ? แล้วกำลังของฉันยังสามารถบีบบังคับให้นายตัดเส้นลมปราณเองทั้งที่ยังไม่สู้ด้วยซ้ำ!
นายคิดว่าตัวเองพ่ายแพ้ก็ไม่เป็นไรไม่ใช่หรอ ตายไปก็สามารถพ้นทุกข์ได้? งั้นฉันจะให้นายรู้ ว่าการตายถึงจะเป็นสิ่งที่เจ็บปวดที่สุด เสียใจที่สุด พ่ายแพ้ที่สุด และอ่อนแอที่สุด!
กดดันนายจนหมดหนทาง ความอวดดีและมั่นใจทั้งหมดของนาย ถึงจะหายไปจนหมด
นั่นก็คือการฝึกฝนมาอย่างดี! ฝึกฝนซ้ำๆ ทำลายแล้วสร้างใหม่ซ้ำๆ ถึงจะสามารถสร้างให้เป็นสิ่งที่แข็งแกร่งได้!
ฉะนั้น เย่เฉินจึงโบกมือให้กับว่านพั่วจวิน พูดนิ่งๆว่า “ช่างเถอะ! ฉันเพิ่งรับช่วงต่อปัญหาต่างๆของตระกูลเย่ อนาคตก็ขาดลูกน้องอยู่ ในเมื่อนายมีความคิดนี้ ฉันสามารถไว้ชีวิตนาย ให้โอกาสนายได้กตัญญู แต่นายกับทุกคนในสำนักว่านหลง จะต้องซื่อสัตย์เชื่อฟังฉัน! ชีวิตนี้ ห้ามขัดคำสั่งใดๆของฉัน!”
พูดจบ เย่เฉินก็มองไปยังวานพั่วจวินรวมทั้งพลทหารสำนักว่านหลงที่อยู่ด้านหลังเขา พูดเสียงเข้มว่า “พวกนาย ยินดีมั้ย?!