ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 3409 แบ่งเบาภาระให้กับต้นตระกูล
พอเย่เฉินพูดคำนี้ออกมา เย่ทาวก็พลันตกใจจนตัวสั่น
เหตุผลที่เขาพูดเรื่องเหล่านี้กับเย่เฉิน เดิมทีคิดจะให้เย่เฉินเข้าใจ ว่ากิจการของตระกูลตนในปัจจุบันไม่ได้พึ่งพาตระกูลเย่แล้ว และไม่ต้องให้ตระกูลเย่เสนอแหล่งทัพยากรและความช่วยเหลือใดๆ ดังนั้นตนจึงไม่จำเป็นต้องมาหัวเซี่ยเพื่อรายงานเขาทุกๆ สามเดือน
แต่คิดอย่างไรเย่ทาวก็คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่พูดไปมากขนาดนี้ เย่เฉินถึงกับต้องการให้ตนรั้งอยู่ช่วยเขาที่หัวเซี่ย
เขาพลันสำนึกผิดจนแทบอยากจะตบปากมากของตัวเองสักหลายสิบที!
ทันใดนั้น เขารีบพูดขึ้นด้วยสีหน้าร้องไห้ “คุณเย่……คุณอย่าถือเอาเรื่องที่ผมพูดเมื่อกี้มาคิดจริงจังเป็นอันขาด เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ผมโม้ทั้งนั้น……”
เย่เฉินถามด้วยสีหน้าท่าทางไม่แยแส “อ้อ? งั้นเหรอ?”
เย่ทาวรีบพงกศีรษะราวกับทุบกระเทียม
ซึ่งเวลานี้ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่อยู่ข้างกายเย่ทาว ก็เอ่ยปากพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “เย่เฉิน……ฉันคือพ่อของเย่ทาว เย่หงหยาง เป็นลูกพี่ลูกน้องกับพ่อของเธอ ลูกชายคนนี้ของฉันมีนิสัยชอบคุยโม้ตั้งแต่เกิด เป็นคนโง่ที่รู้ครึ่งๆ กลางๆ แล้วอวดฉลาด ฉันด่าเขาไปตั้งกี่ครั้งแล้วก็ไม่รู้ บอกให้เขาอย่าคุยโม้โอ้อวดอยู่ข้างนอก แต่เด็กคนนี้ก็คือไม่ฟัง……”
พูดจบ เขาก็รีบยิ้มอย่างขอลุแก่โทษพร้อมกล่าวว่า “ตอนนี้คุณเป็นถึงผู้นำตระกูลเย่ อย่าเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือกับเด็กสารเลวชอบคุยโม้แบบนี้เลย……”
เย่เฉินพยักหน้าเบาๆ พูดพึมพำว่า “อ้อ……พูดมาครึ่งวันที่แท้ก็โม้หรือนี่……”
เย่หงยางใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งตบไปบนศีรษะของเย่ทาง ก่อนจะตวาดว่า “เจ้าคนไม่เอาไหน ยังไม่รีบขอโทษผู้นำตระกูลอีก!”
เย่ทาวบีบฝ่ามือ และดูไม่ออกเลยว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมที่ตรงไหน แต่กลับพูดด้วยสีหน้ากระสับกระส่ายแทน “คุณเย่……ผมผิดเอง ผมไม่ควรคุยโวโอ้อวดต่อหน้าคุณไปเรื่อยเปื่อย……หวังว่าคุณ……อย่าเอาพิมเสนมาแลกกับเกลืออย่างผมเลย……”
เย่เฉินโบกมือ กล่าวขึ้นตามอำเภอใจว่า “โธ่ถัง คนเราเอาแต่จริงจังก็ผ่านวัยเยาว์ไปเสียเปล่า ตอนอายุยังน้อยมีใครบ้างไม่ชอบคุยโวโอ้อวดกัน? เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ฉันไม่เก็บเอามาใส่ใจแน่นอน”
เย่ทาวถอนหายใจด้วยความโล่งอก รีบกล่าวอย่างรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณ “ขอบคุณคุณชายเย่ที่มีน้ำใจกว้างขวาง! ขอบคุณคุณชายเย่ที่มีน้ำใจกว้างขวาง!!!”
เย่เฉินพยักหน้า จากนั้นก็มองไปทางเย่หงหยางอีกครั้ง ก่อนจะถามว่า “ผมมีบางคำถามอยากจะขอคำชี้แนะสักหน่อย”
เย่หงหยางรีบเอ่ยขึ้นด้วยความนอบน้อมเป็นอย่างยิ่ง “ผู้นำตระกูลคุณมีคำถามก็ถามมาได้เลยครับ ไม่เห็นต้องพูดว่าขอคำชี้แนะอะไรเลย พวกเราก็แค่คนตัวเล็กๆ ไหนเลยต้องให้คุณพูดถึงขนาดนี้ด้วย……”
เย่เฉินยิ้ม ก่อนจะกล่าวว่า “คืออย่างนี้ครับ ผมอยากรู้ว่าเรื่องเหล่านี้ที่เย่ทาวพูดถึงเมื่อกี้ ที่แท้เป็นเรื่องจริงหรือหลอกกันแน่? เรื่องตั้งแต่ต้นจนจบเขาเป็นคนปั้นแต่งขึ้นมาโดยไม่เคยเกิดขึ้นเลย หรือว่ามันเคยเกิดขึ้นจริงๆ แต่ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา เขาเพิ่มมันเข้ามาอยู่บนศีรษะของเขาเองกันแน่?”
เย่หงหยางพลันอึกอักเล็กน้อย พูดอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “คือว่า…….คือว่า……ก็ไม่ถึงกับว่าไม่เคยเกิดขึ้นเลย……”
เย่เฉินเห็นท่าทางพูดไม่เต็มเสียงของเขา ด้วยเหตุนี้จึงถามอย่างตรงประเด็นว่า “ผมก็อยากรู้ว่าการคาดคะเนล่วงหน้าเมื่อ5ปีก่อน เรื่องที่ย้ายธุรกิจจากหัวเซี่ยไปยังโรมาเนีย เคยเกิดขึ้นจริงใช่หรือเปล่า?”
“ใช่ ใช่!” เย่หงหยางรีบพยักหน้ายอมรับ
ในใจเขาชัดเจนดี เรื่องนี้ปิดบังไม่ได้อยู่แล้ว ขอเพียงเย่เฉินตรวจสอบเพิ่มนิดหน่อย ก็สามารถรู้ได้ถึงทรัพย์สมบัติที่เพิ่มขึ้นทั้งหมดของตระกูลตัวเอง นี่จึงไร้หนทางปิดบังโดยสิ้นเชิง
ยามนี้เย่เฉินถามอีกว่า “อย่างนั้นผมอยากรู้ว่า คนที่ตัดสินใจทำอย่างนั้นเมื่อ5ปีก่อน หากไม่ใช่เย่ทาว แล้วเป็นใครกัน?”
เย่หงหยางพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดมากขึ้นกว่าเดิม พูดกระอึกกระอักว่า “คือ……คือ……”
“คืออะไร?” เย่เฉินขมวดคิ้ว ก่อนจะซักถามเสียงเย็น “การพูดชื่อคนคนหนึ่งออกมามันยากเย็นขนาดนี้เชียวเหรอ?”
เย่หงหยางมองเย่เฉินอย่างไม่พอใจอยู่บ้าง พร้อมรีบร้อนกัดฟันพูดว่า “ฉันเอง……ฉันเอง……คนที่ตัดสินใจคือฉันเอง……”
เย่ทาวมองไปทางบิดาในยามนี้ สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลและหวาดกลัว พร้อมกันนั้นก็เจือไปด้วยความละอายถึงสิบส่วน
เย่เฉินมองเย่หงหยาง แล้วถามขึ้นอย่างจริงจัง “แน่ใจใช่ไหมว่าเป็นคุณ?”
เย่หงหยางพยักหน้าติดๆ กัน ก่อนจะกัดฟันกล่าวว่า “จริงครับ……เป็นผมจริงๆ ……”