ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 3503
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เย่เฉินก็พูดอีกว่า: “ออกจากห้องนี้ ฉันหวังว่านายและว่านพั่วจวินยังมีฮามิดด้วย ก็สามารถที่จะได้รับผลประโยชน์ สิ่งที่ฮามิดต้องการคือการพัฒนาที่มั่นคง สิ่งที่ว่านพั่วจวินต้องการคือฐานทัพด้านหลังแห่งหนึ่ง และพวกนายต้องลดศัตรูที่แข็งแกร่งหนึ่งฝ่ายและเพิ่มพันธมิตรหนึ่งฝ่าย”
ซัยยิตถามโดยไม่รู้ตัวว่า: “คุณเย่ ทำไมไม่เพิ่มพันธมิตรสองฝ่ายล่ะ?”
เย่เฉินพูดด้วยรอยยิ้มว่า: “งั้นนายก็ดูว่าฮามิดคิดยังไง”
ในเวลานี้ฮามิดหัวเราะเสียงดังลั่น และเอ่ยปากพูดว่า: “สิ่งที่ฉันต้องการก็คือต่างคนต่างอยู่ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันกับพวกเขา ทุกคนก็ไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกันไม่โจมตีซึ่งกันและกัน ในเวลาเดียวกัน ฉันยังอยู่ในค่ายของฝ่ายค้านต่อไป ไม่อย่างนั้นถ้าหากฉันเปลี่ยนคุณสมบัติไป ทีมข้างล่างคงจะไม่ได้นำพาได้ง่ายอย่างแน่นอน”
เย่เฉินพยักหน้า และพูดด้วยรอยยิ้มว่า: “แบบนี้ พี่ชายพี่ก็ต่อหน้าเป็นฝ่ายตรงข้าม แต่ความจริงก็เป็นกลาง”
“ถูกต้อง”ฮามิดพูดด้วยรอยยิ้มว่า: “ไม่ปิดบังนายนะ ศิษย์น้องเย่ หลังจากที่ตอนนั้นถูกนายชี้แนะแบบนั้น ตอนนี้ฉันขุดถ้ำขุดจนติดใจแล้ว ไม่อยากต่อสู้สักนิด!”
เย่เฉินมองไปทางซัยยิต และพูดด้วยรอยยิ้มว่า: “นายดูสิ แบบนี้ก็ดีกว่าไม่ใช่เหรอ?”
ซัยยิตเม้นปากเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า: “งั้นเรื่องของนักโทษว่ายังไง?”
เย่เฉินพูดด้วยรอยยิ้มว่า: “เรื่องนี้ง่ายดาย สำนักว่านหลงก็จ่ายเงินชดเชยให้กับพวกนายหนึ่งหมื่นดอลลาร์สหรัฐต่อคน หนึ่งหมื่นห้าพันคน ก็คือหนึ่งร้อยห้าสิบล้านดอลลาร์สหรัฐ มีเงินก้อนนี้ เพียงพอที่นายจะขยายขนาดกองทัพ ในเวลาเดียวกันเพิ่มระดับอาวุธและอุปกรณ์ของกองทัพอีกด้วย”
ก่อนหน้านี้ว่านพั่วจวินถึงขนาดคิดว่า เรื่องนี้คงจะต้องใช้เงินมากกว่าหนึ่งพันล้านดอลลาร์สหรัฐถึงสามารถเคลียร์ได้ คาดไม่ถึงว่าทันทีที่เย่เฉินออกปากก็รับปากจะให้อีกฝ่ายหนึ่งร้อยห้าสิบล้าน
เห็นได้ชัดว่าซัยยิตก็ค่อนข้างผิดหวัง เขาก็รู้ว่าสำนักว่านหลงมีเงินเป็นอย่างมาก ก็คิดมาโดยตลอดว่าสามารถฉวยโอกาสนี้ ได้เงินของสำนักว่านหลงมาอย่างหนักก้อนหนึ่งหรือเปล่า แต่จำนวนหนึ่งร้อยห้าสิบล้านดอลลาร์สหรัฐนี้ บอกว่าน้อยก็ไม่น้อย แต่บอกว่ามาก ก็ไม่ถือว่ามากจริงๆ
ดังนั้น เขากระแอมสองครั้ง และเอ่ยปากพูดว่า: “คุณเย่ จำนวนหนึ่งร้อยห้าสิบล้านดอลลาร์สหรัฐนี้ น้อยไปหน่อยหรือเปล่า? อีกอย่าง ให้พวกเราให้ที่ดินหนึ่งร้อยตารางกิโลเมตรกับสำนักว่านหลง อย่างน้อยสำนักว่านหลงก็ต้องให้ค่าเช่าหน่อยนะ? ไม่อย่างนั้นพวกเราก็ไม่สามารถอธิบายให้กับสาธารณชนได้……”
เย่เฉินพูดอย่างใจกว้างว่า: “เอาอย่างนี้นะซัยยิต นายกลับไปบอกกับหัวหน้าของพวกนาย นอกเหนือจากค่าชดเชยหนึ่งร้อยห้าสิบดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่พวกนายโอนที่ดินให้กับสำนักว่านหลงแล้ว สำนักว่านหลงก็มอบข้าวสาลีแก้ปัญหาให้กับพวกนายหนึ่งแสนตัน! พวกนายไม่สะดวกที่จะซื้ออาหารไม่ใช่เหรอ? ฉันมีบริษัทขนส่งเป็นของตัวเองพอดี ถึงเวลานั้นซื้ออาหารในหัวเซี่ย(ชื่อเรียกประเทศจีนสมัยก่อน) ส่งสินค้าตรงถึงที่และบริการถึงบ้าน ส่งไปที่ท่าเรือของพวกนายให้กับนาย”
เย่เฉินรู้ว่า สำหรับซัยยิตและหัวหน้าของพวกเขา ปัญหาในขณะนี้ไม่เพียงแค่สงคราม แต่ที่มากกว่านั้นการดำรงชีวิตขั้นพื้นฐาน
เดิมที พวกเขาเป็นผู้ส่งออกอาหารรายเดียวในตะวันออกกลาง แต่สงครามอย่างต่อเนื่อง ทำให้การผลิตอาหารของพวกเขาลดลงอย่างต่อเนื่อง การขาดแคลนอาหารสำหรับพวกเขา ได้กลายเป็นปัญหาใหญ่อย่างหนึ่ง
ข้าวสาลีหนึ่งแสนตัน ต้นทุนแค่สองร้อยกว่าล้านหยวน คิดเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐยังไม่ถึงสี่สิบล้านหยวน แต่สำหรับพวกเขา ไปนำอาหารเข้าจากต่างประเทศก็ไม่ใช่ราคานี้
นอกจากนี้ สภาพการเงินในตอนนี้ของพวกเขาย่ำแย่เป็นอย่างมาก หนึ่งปีแก้ปัญหาข้าวสาลีหนึ่งแสนตันให้กับพวกเขาได้ สำหรับพวกเขา เป็นประโยชน์มากจริงๆ เลี้ยงคนสองแสนกว่าคนก็ไม่ใช่ปัญหา
หลังจากที่ซัยยิตคิดเงื่อนไขทั้งหมดอยู่ในใจรอบหนึ่ง ภายในส่วนลึกของหัวใจก็ได้ทำการตัดสินใจด้วยตัวเองแล้ว เขารู้สึกว่าการแลกเปลี่ยนนี้คุ้มค่ามาก ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับฝั่งตัวเอง ไม่เพียงแต่ได้รับผลประโยชน์มากมายเท่านั้น ยังมีพันธมิตรที่ความสามารถแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นฝ่ายหนึ่ง เป็นเรื่องดีอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็รู้ดีมาก ตัวเองจับกุมทหารหนึ่งหมื่นกว่านายของสำนักว่านหลงนั้น ก็ไม่ใช่ว่าตัวเองมีความสามารถมากแค่ไหน แต่อาศัยความช่วยเหลือจากเย่เฉินทั้งหมด
ดังนั้น ในเวลานี้เขาก็ละลายใจเกินกว่าที่จะเจรจาต่อรองกับเย่เฉินต่อไป ก็เอ่ยปากพูดว่า: “อาจารย์เย่ ผมต้องขอคำชี้แนะของหัวหน้า ถ้าหากหัวหน้าไม่คัดค้าน เรื่องนี้ก็เอาตามนี้!”