ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 3534 นายนี่ก็อยู่เป็นเนอะ
เรื่องที่ทำเนียบขาวต้องการกรรมสิทธิ์ของยาเกิดใหม่เก้าเสวียน ในมุมมองของสมิธ มันทั้งเหนือความคาดหมาย และสมเหตุสมผล
ถ้าหากกระทรวงสาธารณสุขรายงานข้อมูลนี้ให้ทำเนียบขาวทราบ พวกเขาก็คงไม่ปล่อยโอกาสนี้ไปอยู่แล้ว
แต่ว่า จะได้กรรมสิทธิ์มาครอบครองหรือเปล่า นั่นไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาสามารถตัดสินใจได้
ยาชนิดนี้ ก็เหมือนเครื่องผลิตแบงค์ ตราบใดที่เจ้าของของมันมองการณ์ไกล ก็ไม่มีทางยอมขายกรรมสิทธิ์ออกไปแน่นอน
แต่สมิธเองก็ไม่ได้ดับฝันคนในสาย แต่กลับตอบตกลงอย่างรวดเร็วว่า “รอให้ผมได้เจออีกฝ่ายก่อนแล้วกัน ผมจะพยายามผลักดันเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด”
ขณะที่พูด สมิธก็เอ่ยขึ้นมาอีกว่า “แต่ว่า เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ผมแค่คนเดียวคงรับมือไม่ไหวหรอก ให้ทางทำเนียบขาวส่งผู้เชี่ยวชาญมาเจรจาช่วยได้ไหม?”
หัวหน้ากระทรวงปฏิเสธในทันที “เรื่องแบบนี้ทำเนียบขาวไม่สามารถออกตัวตรงๆได้ ถ้าหากข่าวหลุดออกไปมันจะทำให้คนเข้าใจผิดว่าทำเนียบขาวต้องการยึดอำนาจในด้านการแพทย์เอาได้ ถ้าหากรัฐบาลของแต่ละประเทศทั่วโลกแทรกแซงเข้ามา คงผลักดันเรื่องนี้ไม่ได้ง่ายๆ”
อีกฝ่ายกำชับออกมาอีกว่า “คุณไปครั้งนี้ ลองหยั่งเชิงท่าทีของอีกฝ่ายไปก่อนแล้วกัน ถ้าหากฝ่ายนั้นดูสนใจ แต่ราคาที่เสนอมาค่อนข้างเยอะ ผมจะให้ผู้ดูแลเฉียงเซิงโทรไปให้พวกเขาออกหน้าซื้อกรรมสิทธิ์นั้นมา”
สมิธแอบเดาะลิ้นเบาๆ คิดในใจว่า “ทำเนียบขาวกระทำเรื่องนี้ได้อย่างมีชั้นเชิงจริงๆ พวกเขาทราบข่าวนี้ก่อน แล้วค่อยส่งไม้ต่อให้บริษัทแนวหน้าอย่างเฉียงเซิงเดินเรื่องต่อ ถ้าหากเฉียงเซิงได้กรรมสิทธิ์นี้มาครอบครอง แบบนั้นจะไม่เหมือนบินได้เลยเหรอ?”
ในตอนนี้เอง อีกฝ่ายก็ออกคำสั่งกับเขาต่อว่า “สมิธ ต้องหาทางผลักดันเรื่องนี้ให้ลงตัวนะ เมื่อใดที่กรรมสิทธิ์กลายมาเป็นของอเมริกาได้สำเร็จ เปอร์เซ็นต์ส่วนแบ่งของยอดขายที่เฉียงเซิงได้รับในแต่ละปีก็จะถูกแบ่งให้คอนเน็คชันทั้งหลาย รวมไปถึงคุณกับผมด้วย มันคือเค้กก้อนใหญ่เลยนะ!”
ได้ยินแบบนั้นสมิธก็อดช็อกไม่ได้
ถ้าหากยาชนิดนี้มีโอกาสวางขายในตลาด ยอดขายแสนล้านดอลล่าต่อปีก็คงได้มาอย่างสบายๆ ถ้าหากแยกส่วนแบ่งออกมา อย่างน้อยก็น่าจะประมาณพันล้านดอลล่า
ถ้านำส่วนแบ่งประมาณพันล้านดอลล่ามาแบ่งให้คอนเน็คชันล่ะก็ ส่วนของเขาน่าจะอยู่ขอบๆ คำนวนดูคงอยู่ที่หลักร้อยล้าน
คิดมาถึงตรงนี้ เขาก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ไหว รีบพูดว่า “ผมจะพยายามจัดการเรื่องนี้ให้สำเร็จ!”
อีกฝ่ายตอบรับอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็เอ่ยพูดขึ้น “สมิธ ทางทำเนียบขาวมีคำสั่งมาอีกว่า ถ้าหากไม่ได้กรรมสิทธิ์กลับมา ก็ต้องแกะสูตรยามาให้ได้ ก่อนหน้านี้คุณได้ยามาเจ็ดเม็ด และลูกชายของคุณก็กินมันหมดแล้ว จึงไม่มีเหลือเก็บเป็นตัวอย่าง เพราะฉะนั้นในครั้งนี้ คุณต้องเอายาเกิดใหม่เก้าเสวียนกลับมาให้ได้”
สมิธเอ่ยถามอย่างตกใจ “ถ้าไม่ได้กรรมสิทธิ์ ต้องแกะสูตรยาของฝ่ายนั้นงั้นหรอ แบบนี้มันสามารถทำลายความน่าเชื่อถือด้านระบบกรรมสิทธิ์ของเราให้พังย่อยยับได้เลยนะ ทำแบบนี้มันไม่เสี่ยงเกินไปหน่อยเหรอ?”
“จะกลัวไปทำไม” อีกฝ่ายเอ่ยพูดอย่างไม่ยี่หระ “เรื่องพวกนี้เราไม่ลงมือทำเองอยู่แล้ว ถ้าถึงตอนนั้นเราขโมยสูตรมาได้ ก็แค่ส่งไปให้บริษัทผลิตยาในอินเดียที่เป็นหุ้นส่วนเราเอาไปผลิต ถึงยังไงอินเดียก็ไม่ยอมรับกรรมสิทธิ์ยาอยู่แล้ว”
สมิธพลันเข้าใจจุดประสงค์ของอีกฝ่ายในทันที
ในเมื่อซื้อขายในที่แจ้งไม่สำเร็จ ก็ต้องเปลี่ยนเป็นแอบขโมยในที่มืดแทน
พอขโมยมาได้ ก็ส่งให้อินเดียไปผลิต แบบนี้สามารถลดความเสี่ยงและเลี่ยงกฎหมายได้
อินเดียเป็นเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงในด้านการก็อปสูตรผลิตยา เหตุผลที่พวกเขาสามารถก็อปสูตรของยาหลากหลายชนิดได้อย่างเปิดเผย เป็นเพราะว่ากฎหมายประเทศนี้ไม่ยอมรับกรรมสิทธิ์ยา ดังนั้นเรื่องแบบนี้จึงไม่ถือว่าผิดกฎหมายในอินเดีย
แต่ถึงอย่างนั้นในใจของสมิธก็แอบไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้
เพราะถึงอย่างไรเขาก็เกิดมาพร้อมหลักวิชาการ จึงเคารพเรื่องกรรมสิทธิ์ด้านการแพทย์และยามากๆ ก็เหมือนที่นักเขียนเคารพลิขสิทธิ์มากๆนั่นแหละ
ให้เขามีส่วนร่วมในการขโมยกรรมสิทธิ์ยาแบบนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับให้นักเขียนที่มีผลงานมาหลายปี และมีความลึกซึ้งกับงานเขียนมากๆไปขโมยไอเดียชาวบ้านเขามา
เรื่องนี้ เขาไม่อยากมีส่วนร่วมเลยจริงๆ
แต่กระนั้น เขาก็ทำได้เพียงตอบกลับไปว่า “ผมรู้แล้ว ผมจะพยายามหาทางเอากรรมสิทธิ์มาให้ได้ ถ้ามีความคืบหน้าอะไรผมจะแจ้งคุณเป็นอันดับแรก”
อีกฝ่ายเองไม่ได้พูดอะไรมากมาย เอ่ยกำชับว่า “ถ้ามีความคืบหน้าให้รีบติดต่อผมทันที”
“ครับ”