ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 3733
เฟ่ยเจี้ยนจงรู้อยู่แก่ใจ ว่าสภาพร่างกายของตัวเองมาถึงระยะสุดท้ายแล้ว ถ้าหากการมาเมืองจินหลิงในครั้งนี้ไม่ได้ยาอายุวัฒนะติดมือกลับไปด้วย เขาอาจจะไม่มีชีวิตรอดกลับจากเมืองจินหลิงก็ได้
ดังนั้น จะแพ้หรือชนะ ก็คงขึ้นอยู่กับการเดิมพันครั้งนี้
เขามองออกไปนอกหน้าต่าง ในใจเอาแต่พร่ำอธิษฐาน ขอให้ครั้งนี้ตัวเองสมปรารถนา
หลังจากเครื่องบินลงจอด รถนำทางก็พาเครื่องบินไถล้อมาจอดที่โรงจอดเครื่องบินที่เฉินจื๋อข่ายเช่าเอาไว้
เมื่อเครื่องบินจอดนิ่งสนิท ประตูห้องโดยสารก็เปิดออก
ลูกน้องคนหนึ่งของเฉินจื๋อข่าย เดินลงบันไดเลื่อนมาหยุดรอที่หน้าประตูเครื่องบิน
ทันทีที่ประตูเครื่องถูกพนักงานเปิดออก ลูกน้องของเฉินจื๋อข่าย ก็มายืนตรงหน้า แล้วเอ่ยพูดเสียงเข้มขรึมว่า “นี่คงเป็นเครื่องบินของเฟ่ยเจี้ยนจงสินะ?”
พนักงานบนเครื่องเอ่ยพูดอย่างมีน้ำโห “นี่ ระวังคำพูดคำจาหน่อย ชื่อของคุณท่านไม่ใช่ชื่อที่ใครจะมาเรียกตรงๆก็ได้!”
ลูกน้องของเฉินจื๋อข่ายเอ่ยพูดอย่างไม่ยี่หระว่า “คุณทงคุณท่านอะไร คุณท่านของพวกนายไม่ใช่คุณท่านของฉันสักหน่อย ฉันมีหน้าที่แค่เช็กชื่อคนเข้าร่วมเท่านั้น ตอนนี้นายไปบอกเฟ่ยเจี้ยนจง ให้เตรียมบัตรเชิญกับบัตรยืนยันตัวตนไว้ให้พร้อม เพื่อที่เจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบ”
พนักงานบนเครื่องไม่คิดว่า ไอ้หนุ่มคนนี้จะพูดจาไร้มารยาทขนาดนี้ จึงเอ่ยถามเสียงเย็นว่า “นี่ไอ้หนุ่ม คำพูดคำจาอะไรของนาย?! รู้ไหมว่ากำลังพูดอยู่กับใคร?”
ลูกน้องของเฉินจื๋อข่ายแสยะยิ้ม “ฉันไม่รู้หรอกว่ากำลังพูดอยู่กับใคร และฉันไม่อยากรู้ด้วย ฉันรู้แค่ว่าถ้าพวกนายไม่ปฏิบัติตามแนวทาง หรือมัวแต่ชักช้า ฉันก็จะไปรายงานต่อหัวหน้า ให้ยกเลิกสิทธิ์การเข้าร่วมของคุณท่านพวกนายซะ แล้วอย่าหาว่าฉันไม่เตือนล่ะ!”
พนักงานของเฟ่ยเจี้ยนจงได้ยินคำพูดนี้ ก็พลันเหงื่อออกท่วมกาย
เขาคิดไม่ถึงเลยจริงๆ อีกฝ่ายเป็นแค่พนักงานตัวเล็กๆ แต่กลับแกร่งกล้ามากถึงขนาดนี้ แถมเรื่องนี้ยังเป็นเรื่องสำคัญอีกด้วย พวกเขาแทบจะควบคุมอีกฝ่ายไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงยอมพูดออกมาดีๆว่า “นี่พ่อหนุ่ม อย่าเพิ่งอารมณ์เสียสิ คำพูดเมื่อกี้ไม่ผ่านสมองฉันเองแหละ นายอย่าถือสาเลยนะ”
ในตอนนี้เองเฟ่ยเจี้ยนจงก็เดินมาถึงประตูเครื่องบินโดยมีแพทย์ประจำตัวคอยพยุง เมื่อเขาเห็นเจ้าหน้าที่วัยหนุ่ม ก็เอ่ยพูดด้วยใบหน้าขอโทษว่า “ขอโทษด้วยนะพ่อหนุ่ม พ่อบ้านของฉันคนนี้นิสัยเสียนิดหน่อย นายอย่าถือสาเขาเลยนะ”
ลูกน้องของเฉินจื๋อข่ายมองมาที่เฟ่ยเจี้ยนจงแล้วเอ่ยถาม “คุณคือ?”
เฟ่ยเจี้ยนจงเอ่ยพูด “ฉันนามสกุลเฟ่ย ชื่อเต็มเฟ่ยเจี้ยนจง”
ลูกน้องของเฉินจื๋อข่ายพยักหน้า เอ่ยพูดด้วยใบหน้าเรียบนิ่งว่า “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป คุณต้องปฏิบัติตามแนวทางและการจัดการของเรา และรบกวนบอกพนักงานของคุณถอยเครื่องบินออกจากโรงจอดไปจอดที่สนามบินข้างๆ เนื่องจากที่นี่เครื่องบินจอดเต็มแล้ว พวกคุณต้องถอยเครื่องบินออกไปภายในสิบนาที เพราะผมต้องรอรับผู้เข้าร่วมคนต่อไปอยู่ที่นี่”
เฟ้ยเจี้ยนจงเอ่ยพูดอย่างนอบน้อม “พ่อหนุ่มสบายใจได้ ฉันจะจัดการให้พวกเขาถอยเครื่องบินออกไปเร็วๆ”
ในตอนนี้เอง พนักงานเครื่องบินของเฟ่ยเจี้ยนจงก็แสดงสีหน้ากระอักกระอ่วนออกมา รีบพูดว่า “ใต้ท้องเครื่องบินมีรถอยู่สองคน ถ้าโหลดลงเครื่องอาจจะยุ่งยากหน่อย ขยายเวลาให้พวกฉันสักครึ่งชั่วโมงได้ไหม?”
ลูกน้องของเฉินจื๋อข่ายเอ่ยพูดเสียงเย็นว่า “เรามีรถคอยรับส่ง พวกคุณไม่จำเป็นต้องเตรียมรถมาเองก็ได้”
พูดจบ เขาก็ชี้ไปยังมุมหนึ่งของโรงจอด ตรงนั้นมีเก้าอี้พลาสติกธรรมดากับโต๊ะตัวหนึ่งประกอบกันขึ้นมาเป็นพื้นที่ชั่วคราว แล้วหันมาพูดกับเฟ่ยเจี้ยนจงว่า “เฟ่ยเจี้ยนจง ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป หมายเลขภายในของคุณคือ035 กรุณานำบัตรยืนยันตัวตนไปรายงานกับเจ้าหน้าที่ฝั่งนั้น”