ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 3935 น่าทึ่งอย่างมาก
ในไม่ช้า ประตูด้านข้างของเรือบรรทุกสินค้าก็ถูกเปิดออก ในนั้นมีลูกเรือคนหนึ่งเห็นเย่เฉินและกล่าวด้วยความเคารพว่า “สวัสดี คุณเย่!”
ทันทีที่อังเดรเห็นประตูเปิดออก เขาก็รู้สึกราวกับว่าตนเองเป็นแม่ทัพที่เพิ่งเข้าครอบครองเมืองได้และอีกฝ่ายหนึ่งได้เปิดประตูให้เขาแล้วและกำลังรอการเข้ายึดครองของเขาอยู่
ในเวลานี้ อารมณ์ของเขาตื่นเต้นและพลุ่งพล่านเป็นพิเศษ อีโก้ของเขาเองก็กำลังขยายไปสู่ระดับใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน
เขาพึงพอใจอย่างมากและตะโกนบอกสมาชิกแก๊งที่อยู่ข้างหลังว่า “พี่น้องทั้งหลาย เรือลำนี้ต่อไปก็เป็นของเราแล้ว! พวกนายจงตามฉันไปดูมันสักหน่อย!”
เสียงตะโกนด้วยความตื่นเต้นยินดีของ อังเดร ทำให้สมาชิกในแก๊งที่อยู่ข้างหลังเขาก็ตื่นเต้นไปด้วยเช่นกัน
ทุกคนลูบมือของตนไปมา เตรียมพร้อมและรอที่จะขึ้นไปสำรวจเรือ
อังเดรชี้ปืนไปที่เย่เฉินและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณเย่ รบกวนคุณนำทางไปข้างหน้า”
เย่เฉินไม่พูดอะไรและก้าวเข้าไป
อังเดร และ กัวเหล่ยตามเขาไปด้านหลัง จากนั้นฝูงชนที่เหลือก็ตามกรูกันเข้ามาพร้อมทั้งส่งเสียงเชียร์ไปด้วย
เรือบรรทุกสินค้าขนาดใหม่แบบนี้ ส่วนของกำลัง การควบคุม และการใช้ชีวิตของลูกเรือล้วนอยู่ที่ท้ายเรือ ในขณะที่ด้านหน้าของเรือก็เต็มไปด้วยโกดังเก็บของ
เมื่อเข้าประตูนี้ไป ขั้นแรกที่เจอก็คือบันไดที่มีโครงสร้างเหล็กซึ่งสามารถนำไปสู่ห้องเครื่องด้านล่างได้โดยตรง และหากตรงไปก็จะเป็นโกดังเก็บของ อย่างไรก็ตามช่องทางนั้นถูกล็อกเอาไว้ล่วงหน้า หลังจากที่เข้าไปแล้วก็ได้แต่ต้องขึ้นบันไดไปเท่านั้น
คนอื่นๆรวมทั้งอังเดรไม่มีใครสนใจโครงสร้างภายในของเรือ พวกเขาแค่ต้องการรีบไปที่ชั้นบนสุดและควบคุมสะพานเดินเรือทั้งหมดให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน
ดังนั้นพวกเขาจึงรีบขึ้นไปด้านบนกันราวกับฝูงผึ้ง
เวลานี้ ในสะพานเดินเรือมีเพียงทหารของสำนักว่านหลงไม่กี่คนอยู่และนำโดยว่านพั่วจวิน
ทันทีที่เย่เฉินขึ้นมา ว่านพั่วจวินก็เอ่ยรายงานทันที “คุณเย่ พวกเราพร้อมแล้ว คุณคิดว่าเราจะออกเรือเมื่อไหร่?”
“นายยังคิดจะออกเรืออยู่อีก?” อังเดร ที่อยู่ข้างๆ เย่เฉินหัวเราะเยาะเย้ยขึ้นสองครั้ง จากนั้นก็ยกปืนพกขึ้นเล็งไปที่หน้าผากของว่านพั่วจวินแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “ให้ทุกคนหยุดงานลงและไปรวมตัวกันบนดาดฟ้า ถ้าใครกล้าเรียกตำรวจ ฉันจะฆ่านายก่อนใคร!”
เมื่อว่านพั่วจวินเห็นปากกระบอกปืนของอีกฝ่าย เขาก็พูดไม่ออกไปอยู่บ้างและถอนหายใจพูดกับเย่เฉิน “คุณเย่ เรียนตามตรง ผมจำไม่ได้แน่ชัดแล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ถูกปืนเล็งมาที่หัวผมคือเมื่อไหร่?”
อังเดรไม่คาดคิดว่าว่านพั่วจวินจะกล้าพูดกับเขาแบบนี้ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยมทันทีและพูดว่า: “เจ้าหนุ่ม ในแวนคูเวอร์ อย่าได้พูดจาโอ้อวดเกินไปนัก ที่นี่คือถ้ำเสือรังมังกร คนตัวเล็กๆที่ไม่รู้จักฟ้าสูงดินต่ำอย่างนาย ไปทำให้คนขุ่นเคืองเข้า แม้กระทั่งตายยังไม่รู้ว่าตายยังไง”
เมื่อได้ยินแบบนั้น เย่เฉินก็อดหัวเราะขึ้นไม่ได้และพูดกับว่านพั่วจวิน “พั่วจวิน นี่คือหัวหน้าแก๊งอิตาลีในแวนคูเวอร์ ว่ากันว่าแวนคูเวอร์ปิดแผ่นฟ้าด้วยมือเดียว น่าทึ่งอย่างมาก”
“ปิดแผ่นฟ้าด้วยมือเดียว?” ว่านพั่วจวิน อดหัวเราะไม่ได้และพูดว่า “คุณเย่ บอกตามตรง แม้ว่าผมจะไม่ทำธุรกิจในอเมริกาเหนือ แต่เรื่องในแวนคูเวอร์ผมก็ยังรู้อยู่บ้าง”
พูดไป ว่านพั่วจวินก็มอง อังเดร อย่างดูถูกและพูดเยาะเย้ยว่า “สถานที่เล็ก ๆ แห่งนี้ มีประชากรไม่ถึงหนึ่งล้านคน ‘ถ้ำเสือรังมังกร’ สี่คำนี้ยังคงห่างไกลนัก อย่างมากที่สุดก็เป็นได้แค่ฝูงมังกรปลาปะปนกันเท่านั้น”
“แต่ว่า ที่นี่มีประชากรไม่เยอะ แต่กลับมีหลายแก๊ง หากจะพูดตามตรง โดยพื้นฐานแล้ว ประเทศที่มีประชากรจำนวนมากก็จะมีผู้อพยพอยู่มากด้วย ดังนั้นพวกเขามักจะตั้งแก๊งเล็กๆ ของตัวเอง หากจะพูดในแง่ของขนาด ชาวอิตาลีสามารถไม่อยู่แม้แต่ในสามอันดับแรกด้วยซ้ำ หากพูดในแง่ของความแข็งแกร่งการต่อสู้ พวกเขาไม่แม้แต่จะติดหนึ่งในห้าได้ด้วยซ้ำ ในช่วงแรกๆ แม้กระทั่งคนเวียดนามก็สามารถทุบพวกเขาลงกับพื้นได้ ถ้าไม่ใช่เพราะการเพิ่มขึ้นของแก๊งจีนที่จัดการแก๊งเวียดนามจนไม่มีทางโต้กลับ แก๊งอิตาลีป่านนี้คงถูกตีกลับซิซิลีไปนานแล้ว “