ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 3955 ห่วงโซ่ธุรกิจสีเทา
มองจากที่ไกลๆ ก็เหมือนแสงสว่างดวงเล็กที่กำลังล่องลอยอยู่บนผิวน้ำอย่างเชื่องช้า
คนขับเรือเห็นดังนั้น ก็รีบพูดขึ้นมาทันทีว่า “พวกเขามาแล้ว!”
เย่เฉินจดจ้องแสงดวงเล็กที่ยังอยู่ไกล ก่อนจะเอ่ยกับว่านพั่วจวินว่า “พั่วจวิน รออีกฝ่ายมาถึงเมื่อไหร่ นายก็พาคนบุกเข้าไปหาพวกมัน จัดการพวกที่ยังมีแรงขัดขืนให้หมดก่อน แล้วจับตัวพวกมันมาสักสองสามคนมาสอบปากคำ”
ว่านพั่วจวินพยักหน้า พลันเอ่ยปากว่า “คุณเย่ไว้ใจได้ ผมจะลุล่วงตามที่สั่งแน่นอน!”
เย่เฉินรู้ดี ว่าเบื้องหลังธุรกิจสีเทาแบบนี้ต้องซับซ้อนซ่อนเงื่อนขนาดไหน อุตสาหกรรมห่วงโซ่ตั้งแต่ต้นทางยันปลายทาง คงน่าจะครอบคลุมไปทั่วทั้งยุโรปอเมริกาแล้ว
ฉะนั้น เขาเองก็รู้ดีอีกเช่นกัน ว่าไม่มีทางที่ตัวเองจะสามารถทำลายห่วงโซ่ทั้งหมดให้สิ้นซากได้
แต่ในเมื่อเขาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว ซ้ำยังมาบังเอิญรู้เข้าว่าคนพวกนี้จะมีการลักลอบส่งมอบคนกันในคืนนี้ เย่เฉินจึงตัดสินใจว่ายังไงก็ให้บทเรียนสักเล็กน้อยกับคนพวกนี้จะดีกว่า
ไม่ว่าคนกลางของพวกแก๊งในแวนคูเวอร์จะเป็นใคร แต่อย่างน้อยคืนนี้ก็ต้องล่อให้คนของคนกลางที่ถูกส่งมาเอาของติดกับเสียก่อน จากนั้นก็ค่อยมาบีบบังคับให้พวกมันคายข้อมูลที่เป็นประโยชน์ออกมา
พรุ่งนี้เช้า แก๊งอิตาลีทั้งแก๊งก็จะเหมือนหายสาบสูญไปจากโลกใบนี้ คนที่มารับมอบของจากพวกเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย นี่จะสามารถเป็นคำเตือนให้คนกลางที่แท้จริงได้แน่ ๆ ว่าอย่างน้อยพวกเขาก็ควรที่จะอยู่ห่างๆจากแวนคูเวอร์
ณ เวลานี้ แสงสว่างบนผิวน้ำทะเลนั่นยิ่งเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ
ทว่าอีกฝ่ายกลับหยุดชะงักตั้งแต่ระยะทางห่างสองกิโลเมตรจากเรือสินค้า
เย่เฉินสายตาดีมากกว่าคนธรรมดาทั่วไป แม้จะอยู่จากที่ไกลๆ ก็ยังคงสามารถมองเห็นได้ง่ายๆว่าพาหนะของอีกฝ่ายไม่ใช่เรือสินค้า แต่เป็นเรือสำราญหรูหราขนาดมหึมา
เรือสำราญลำนี้ดูจากความยาวก็มีประมาณเกือบถึงร้อยเมตร สิ่งก่อสร้างตั้งแต่ดาดฟ้าเรือขึ้นไปก็มีถึงหกชั้น จนทำให้เย่เฉินอดคาดเดาอย่างแปลกใจไม่ได้ว่า เรือสำราญลำนี้มูลค่าอย่างต่ำก็น่าจะเกินพันล้านดอลล่าร์
เขาอดไม่ได้ที่จะถามว่านพั่วจวินที่ยืนอยู่ข้างๆว่า “พั่วจวิน สมัยนี้พวกค้ามนุษย์ของแถบยุโรปอเมริกาหาเงินได้ขนาดนี้เชียวเหรอ?”
ว่านพั่วจวินเองก็เห็นกับตาอย่างชัดเจน ฉะนั้นก็จึงไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก พลันเอ่ยปากว่า “ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เรือลำนี้ดูแล้วน่าจะราคาไม่ใช่เบาๆ อีกอย่างพวกมันใช้เรือแบบนี้มารับคน ดูยังไงก็รู้สึกว่าเอิกเกริกเกินไปหน่อย”
คำพูดของว่านพั่วจวินทำให้เย่เฉินฉุกคิดได้ พลางโบกมือปฏิเสธเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ความเอิกเกริกบางทีก็อาจจะเป็นความเสงี่ยมได้เหมือนกัน บอกตามตรง ว่าถ้าให้ฉันไปตรวจค้นเรือที่เข้าออกท่าเรือทุกวัน ถ้าต้องค้นเรือลำที่มีการลักลอบค้ามนุษย์ เรือสำราญหรูหราแบบนั้น ก็คงจะเป็นลำสุดท้ายฉันจะตรวจค้น แม้ว่าการที่พวกฉันได้มาเห็นเรือแบบนี้ที่นี่จะน่าประหลาดใจมากก็ตาม แม้แต่คนอื่นๆเองก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน”
ว่านพั่วจวินพยักหน้าเบาๆ “คุณเย่พูดถูก”
พลันเอ่ยต่อว่า “ทว่า คนที่สามารถซื้อเรือแบบนี้ได้ ฐานะเบื้องหลังก็น่าจะโดดเด่นไม่ธรรมดา ดูเหมือนว่าอาชญากรรมค้ามนุษย์ในแถบยุโรปปอเมริกา น่าจะมีพวกชนชั้นสูงไม่น้อยที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย”
ทันใดนั้น เย่เฉินก็เรียกหนึ่งในสมาชิกของแก๊งอิตาลี พลันเอ่ยถามว่า “แต่ก่อนตอนที่พวกนายส่งมอบคนทางทะเล ก็นัดเจอกับเรือลำนี้หรือเปล่า?”
สมาชิกแก๊งอิตาลียกกล้องส่องทางไกลขึ้นมาดู สักพักก็ส่ายหน้าตอบว่า “ผมไม่เคยเห็นเรือลำนี้มาก่อนเลย ที่ผ่านมาเรือที่มารับคนจากพวกผมจะมีแต่เรือสินค้า ปกติพวกเขาจะเก็บคนซ่อนไว้ในกล่องที่ถูกทำขึ้นมาโดยเฉพาะ พอถึงท่าเรือแล้ว ก็จะมีคนจากฝั่งตัวแทนค้าต่างขับรถบรรทุกสินค้ามารับเอากล่องไป จะไม่ใช้เรือสำราญที่ใหญ่และหรูหราขนาดนี้”
เย่เฉินขวดคิ้ว “ปกติตัวแทนพวกนั้นทำยังไง?”
ชายคนนั้นรีบตอบทันทีว่า “ปกติแล้วคนจะถูกส่งไปที่เมืองของตัวแทน พวกเขาจะตรวจดูและทำการพิจารณาคน แล้วคนที่ตรงตามมาตรฐานประมูลขายก็จะถูกเก็บไว้ ส่วนที่เหลือก็เอาไปขายต่อให้พวกองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ นี่เป็นช่องทางการค้าที่เห็นได้ทั่วไป”