ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 3969 ทำตามสัญญา
“ครับ……” ว่านพั่วจวินพยักหน้า ก่อนจะประสานมือคำนับแล้วเอ่ยว่า “คุณเย่ ผมไม่เข้าใจ ว่าหากเราเดินไปถึงจุดสิ้นสุดบนเส้นทางแห่งวิชาศิลปะการต่อสู้ ก็จะสามารถเข้าสู่สภาวะขั้นเดียวกันกับคุณเย่งั้นเหรอครับ?”
เย่เฉินเผยยิ้มอ่อน และส่ายหน้าตอบว่า “พั่วจวิน ถ้าให้พูดกันตามจริง ฉันไม่ใช่นักบู๊ที่ฝึกวิชาศิลปะการต่อสู้”
ว่านพั่วจวินตะลึง พลันเอ่ยเสียงพึมพำว่า “คุณไม่ใช่นักบู๊ หรือว่า……หรือว่าสายพลังที่คุณฝึกจะเป็นขั้นกว่าของวิชาศิลปะการต่อสู้งั้นเหรอครับ?”
“จะว่าอย่างงั้นก็ได้” เย่เฉินเอ่ยยิ้มๆ “เทียบกับวิชาศิลปะการต่อสู้แล้ว เส้นทางของฉัน ก็กว้างใหญ่กว่าจริงๆนั่นแหละ”
ว่านพั่วจวินได้ยินดังนั้น ก็พยักหน้าด้วยสีหน้าอึ้งทึ่ง
เมื่อกี้นี้ ตอนที่เย่เฉินใช้มีดทะลุวิญญาณโจมตีเรืออีกฝ่าย ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพลังของว่านพั่วจวินก็ถูกกลับตาลปัตรไปหมด
พลังทำลายล้างแบบนี้ ถึงให้เขาละเลยข้อจำกัดเรื่องระยะห่าง แล้วใช้หมัดทั้งสองข้างโจมตีเรือลำนั้น ก็ไม่มีทางที่จะทำให้ส่วนท้ายของเรือสำราญขนาดใหญ่ถูกทะลุจนแหลกในครั้งเดียวได้
ต้องรู้ไว้ว่านั่นเป็นแผ่นเหล็กหนาที่ถูกทับซ้อนกันหลายๆชั้น ถึงใช้ขีปนาวุธก็ไม่สามารถให้พลังทำลายล้างได้ขนาดนี้
อย่างน้อย ก็ต้องเป็นตอร์ปิโดหรือขีปนาวุธร่อนจึงจะสามารถทำได้
อีกทั้งตอร์ปิโดและขีปนาวุธร่อน ก็เป็นอาวุธที่สร้างพลังทำลายล้างด้วยปฏิกิริยาทางเคมี ไม่ใช่แค่ใช้พลังเพียงอย่างเดียว
หากใช้พลังทั้งหมดในการโจมตี คาดว่าก็ต้องเป็นพลังในปริมาณที่สูงมาก ซึ่งพลังแบบนั้นเกินขีดจำกัดที่ร่างกายมนุษย์สามารถรับได้ไปมากโข
แม้ว่านพั่วจวินจะสามารถปลดปล่อยพลังที่แข็งแกร่งขนาดนี้ออกมาจากร่างกายได้ ทว่าร่างกายของเขาเองก็แบกรับไม่ไหวด้วยเช่นดัน
ฉะนั้น พลังทำลายล้างขนาดนั้น ว่านพั่วจวินยังไม่กล้าแม้แต่จะคิดเลยด้วยซ้ำ
แต่ว่า เมื่อกี้นี้ เย่เฉินกลับปลดปล่อยพลังทำลายล้างที่แข็งแกร่งปานนั้นออกมาได้อย่างง่ายดาย และที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือวิธีการโจมตีของพลังทำลายล้างนี้ ที่ยังสามารถถูกปลดปล่อยออกมาจากระยะไกล ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นและได้ยินมาก่อนเลย
ณ วินาทีนี้ ภายในใจของว่านพั่วจวิน พลันเต็มไปด้วยความปรารถนาในสายพลังที่อยู่ในขั้นกว่าของเย่เฉิน
ทว่า เขาเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าตัวเองนั้นไม่มีสิทธิ์จะขอร้องให้เย่เฉินช่วยสอนเขาซะด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาจึงได้แต่เก็บความปรารถนาแบบนี้ไว้ในใจ
เย่เฉินเองก็ย่อมรู้ดีว่าว่านพั่วจวินกำลังคิดอะไร
สำหรับคนที่หลงใหลในวิชาการต่อสู้แบบว่านหั่วจวินแล้ว ความสามารถและพลังก็คือเป้าหมายสูงสุดของเขา
เมื่อได้เห็นเขาใช้ปราณทิพย์และเครื่องมือทางธรรมสร้างพลังทำลายล้างที่แข็งแกร่ง ในใจเขาก็ย่อมปรารถนามันมากกว่าสิ่งใด
ทว่าเย่เฉินเองก็รู้ดี ว่าปราณทิพย์คือความลับและที่พึ่งที่สำคัญที่สุดของตัวเขา ของแบบนี้ ไม่ควรที่จะเผยแพร่ให้ใครรู้โดยเด็ดขาด
ดังนั้น เขาจึงเอ่ยกับว่านพั่วจวินว่า “พั่วจวิน บนเส้นทางวิชาศิลปะการต่อสู้ ตัวนายเองก็ยังไม่บรรลุแดนมืด เพราะฉะนั้น นายก็คงยังไม่รู้ ว่าหากฝึกฝนไปจนถึงขั้นสูงสุดของวิชานี้แล้ว จะเจอกับโลกทัศน์ใหม่แบบไหน ดังนั้นทางที่ดีที่สุดก็อย่าเพิ่งวอกแวกจะดีกว่า ก้าวผ่านขีดจำกัดบนเส้นทางตัวเองนั้นก็คือเส้นทางที่ถูกต้องที่สุดสำหรับตัวนาย”
ว่านพั่วจวินพยักหน้าเบาๆ
เขาเองก็คิดว่าตัวเองไปได้ไม่ลึกพอบนเส้นทางนี้ ไม่มีใครรู้ ว่าหากฝึกฝนวิชาศิลปะการต่อสู้ต่อไป จะสามารถขึ้นไปได้สูงขนาดไหน
คิดได้ดังนั้น เขาก็ประสานมือคำนับ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแกมละอายใจอย่างนอบน้อมว่า “คุณเย่พูดถูกครับ ผมเข้าใจแล้ว”
เย่เฉินพยักหน้าเล็กน้อย พลันปริปากว่า “ที่ฉันเคยให้คำสัญญาว่าจะช่วยนายฝึกฝนเพื่อเข้าสู่แดนมืด รอหลังจากที่จัดการเรื่องตระกูลเฉียวเสร็จ ฉันจะทำตามสัญญาอย่างแน่นอน!”
เรือสินค้าของพวกเย่เฉิน ได้เข้าสู่พอร์ตแวนคูเวอร์ก่อนฟ้าสาง
ขณะเดียวกัน เรือสินค้าอีกลำที่เย่เฉินซื้อมาใหม่ ก็เตรียมการทุกอย่างเสร็จและพร้อมที่จะออกเรือแล้วเรียบร้อย
แม้กระทั่งรถที่พวกแก๊งอิตาลีขับมา ก็ถูกทหารของสำนักว่านหลงขับขี้นไปที่ดาดฟ้าเรือ กะว่าจะขนไปพร้อมกันทั้งหมด