ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 4101 มองหาเข็มในมหาสมุทร
อานโฉงชิวยักไหล่และพูดอย่างอ่อนใจว่า “อันที่จริงตระกูลพี่เขยของฉันมีอันดับที่สูงมากในประเทศจีน และเคยถึงขั้นติดอันดับหนึ่งและสองมาก่อน แต่แค่เมื่อเทียบกับตระกูลอานก็ยังคงห่างชั้นกันอีกไกล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาตกหลุมรักกัน เป็นช่วงที่ Silicon Valley เติบโตขึ้นอย่างมาก การลงทุนของพี่สาวใน Silicon Valley เริ่มทำกำไรอย่างบ้าคลั่ง ดังนั้นคุณพ่อจึงคิดอยู่เสมอว่าพี่เขยของฉันจงใจเข้าหาพี่สาวของฉันเพื่อเกาะตระกูลอาน ดังนั้นจึงมีอคติกับเขาอยู่บ้างตั้งแต่แรก อีกทั้งยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าพี่เขยของฉันต้องการพาพี่สาวฉันไปหัวเซี่ย สิ่งที่พ่อฉันรักมากที่สุดคือพี่สาวของฉัน เมื่อได้ยินว่าเธอจะถูกพาตัวปอีกซีกโลกหนึ่ง แล้วเขาจะยอมได้ยังไง?”
ขณะที่เอ่ย อานโฉงชิวก็พูดอีกว่า: “พี่เขยของฉันก็เองก็เป็นคนหัวแข็ง จริงๆ แล้วในตอนนั้น นายหญิงใหญ่ก็ทำงานให้กับพ่อมากตลอด และคิดว่ามันน่าจะดีกว่าถ้าให้พี่เขยของฉันอยู่ที่อเมริกา หลังจากแต่งงานทั้งสองก็อาศัยและพัฒนาต่อในอเมริกา ต่อมาพ่อของฉันเองก็ยอมแล้ว หมายความว่าตราบใดที่พี่เขยยอมรั้งอยู่ เขาก็จะไม่ต่อต้านการแต่งงานของพวกเขาอีกต่อไป … ”
หลี่ญ่าหลินอุทาน “ความหมายของคุณท่านก็คือตั้งใจจะให้พี่เขยของนายเป็นลูกเขยแต่งเข้า?”
“จะถือว่าเป็นลูกเขยแต่งเข้าก็คงไม่ใช่เท่าไหร่” อานโฉงชิวอธิบาย “คุณพ่อแค่อยากให้พวกเขาสองคนอยู่ในสหรัฐอเมริกาเพื่อพัฒนาต่อ พ่อไม่ได้บอกว่าหากพวกเขามีลูกแล้วจะต้องใช้นามสกุลอาน แบบนี้ไม่น่าจะถือเป็นลูกเขยแต่งเข้า?”
หลี่ญ่าหลินส่ายหัวและพูดว่า “ก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ นายต้องรู้ว่า คนเขาไม่ใช่นกฟีนิกซ์ที่ไม่มีอะไรเลยหรือเป็นเด็กยากจน เขาเป็นคนในตระกูลมีชื่อเสียง ก็แค่ไม่ได้รวยเท่าตระกูลอานแค่นั้นเอง แล้วจะให้ยอมรับเงื่อนไขมาอยู่ในบ้านฝ่ายหญิงเพื่อพัฒนาต่อได้ยังไงกัน?”
อานโฉงชิวพยักหน้า: “ก็เป็นเหตุผลนี้แหละ แต่พ่อคิดว่าเขายอมถอยให้มากแล้ว อีกฝ่ายไม่ควรคัดค้านในตอนนี้ แต่พี่เขยของฉันก็คิดว่านี่เป็นเรื่องของหลักการและไม่สามารถประนีประนอมได้ ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งนี้ได้มาโดยตลอด”
หลี่ญ่าหลินพยักหน้าเล็กน้อย เขานิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “ใช่สิ ฉันจำได้ว่าพี่สาวของนายมีลูกชายคนหนึ่ง มีครั้งหนึ่งเธอพาลูกกลับไปหานายหญิงใหญ่ด้วยตัวเอง ฉันเองก็เคยพบเขาด้วย ตอนนี้เด็กคนนั้นเป็นยังไงบ้างแล้ว?”
อานโฉงชิวตกตะลึงไปเล็กน้อยแล้วก็ถอนหายใจทันทีและพูดด้วยความเศร้าอยู่หลายส่วนว่า “หลังจากที่พี่สาวและพี่เขยของฉันประสบอุบัติเหตุ หลานชายของฉันก็หายตัวไป หลายปีมานี้มีคนมากมายตามหาเขา แต่ก็ไม่เคยพบเบาะแสอะไรเลย อย่ามองว่าคุณพ่อไม่เคยพูดอะไร แต่จริงๆแล้วเขาไม่เคยหยุดตามหาเลยในตลอด 20 ปีที่ผ่านมา”
พูดไป เขาก็หยุดไปเล็กน้อยแล้วพูดอีกว่า “ปีที่พี่สาวของฉันประสบอุบัติเหตุ คุณพ่อตั้งกองทุนทรัสต์เป็นกรณีพิเศษที่ธนาคารมอร์แกนและทุ่มเงินลงไปหนึ่งพันล้านดอลลาร์ทุกปี”
“เงินนี้ใช้เพื่อวัตถุประสงค์สองประการ อย่างแรกคือเพื่อตามหาหลานชายของฉัน และอีกอย่างคือให้เงินที่เหลือแก่เขาหลังจากพบตัวเขาแล้ว”
“นี่ก็ 20ปีไปแล้วและลงทุนเงินไปทั้งหมดถึงสองหมื่นล้านดอลลาร์ ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา มีค่าใช้จ่ายไปในการจ้างหลายทีมเพื่อค้นหาไปทั่วโลกก็ยังใช้ไปไม่ถึงครึ่ง แค่ราวๆหกเจ็ดพันล้านดอลลาร์”
หลี่ญ่าหลินตกตะลึงและโพล่งออกมา “หาใครสักคนต้องใช้เงินมากขนาดนั้นเชียว?”
“ใช่” อานโฉงชิวอธิบายว่า: “ในยุคข้อมูลข่าวสาร การหาคนดูเหมือนจะง่าย แต่ในความเป็นจริงโลกนี้ช่างกว้างใหญ่มากขนาดนี้ หากนายพลาดไปเพียงแค่มุมเดียว นายก็อาจไม่พบคนๆนั้นไปเลยตลอดชั่วชีวิต ดังนั้นจึงต้องให้หลายทีมกระจายไปทั่วโลก เพื่อปูพรมค้นหาไปทีละน้อย ผู้คนหลายแสนคนมุ่งไปมาทุกที่ทุกหนแห่ง คนเราต้องกินต้องใช้ ดังนั้นค่าใช้จ่ายจึงสูงมากจริงๆ”
“นอกจากนี้ ยังมีค่าใช้จ่ายของหน่วยสืบลับ ไม่ว่าข้อมูลจะมีประโยชน์หรือไม่ ตราบใดที่มีข้อมูลส่งกลับมา นายก็ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมออกไป อีกทั้งเรื่องพวกนี้นายก็ไม่สามารถไปหารัฐบาลท้องถิ่น ตำรวจ และแก๊งเพื่อขอความช่วยเหลือได้ นั่นเพราะหากข้อมูลรั่วไหลออกไป ก็จะกลายเป็นเจตนาดีส่งผลร้ายขึ้นมา ดังนั้นจึงจำเป็นต้องตามหาด้วยตัวเองไปทีละน้อย”
“อีกทั้งเมื่อพบอีกคนที่สงสัยว่าจะใช่แล้ว ก็ต้องหาทุกวิถีทางเพื่อทำการตรวจสอบดีเอ็นเอ เรื่องนี้ก็ต้องใช้เงินทุนอย่างมาก หลายปีมานี้แค่ค่าตรวจดีเอ็นเอก็หมดไปไม่รู้กี่สิบล้านแล้ว”
หลี่ญ่าหลินถามอย่างแปลกใจ “ยังหาไม่เจออีกเหรอ?!”