ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 4153 วีรบุรุษหนุ่มใจเย็นๆ
ไม่เพียงแต่จางชวนเท่านั้นที่ตกตะลึง แม้แต่เฟ่ยซานไห่และเฟ่ยเสวปิง ต่างก็ตกตะลึงอยู่กับที่ไปเลย
ใครจะไปคิดว่า คนที่มีระดับฝีมือสูงสุดในตระกูลเฟ่ย กลับถูกคนอื่นตบจนหมดท่าไปเลย……….
ต่อจากนั้น ฉากที่ทำให้พวกเขาเหลือเชื่อก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
เย่เฉินตบไปหนึ่งที จากนั้นก็ดึงแบ็คแฮนด์ขึ้นมา แล้วก็ใช้หลังมือขวาของตัวเอง ตบเข้าที่จางชวนอีกครั้ง
แม้ว่าจางชวนจะตกตะลึงเหมือนต้นไม้ แต่น้ำตาก็ไหลออกจากดวงตาของเขาอย่างควบคุมไม่ได้
ไม่มีใครรู้ว่า การโดนตบสองครั้งมันทำร้ายจิตใจ สำหรับนักบู๊ห้าดาวมากแค่ไหน…….
ในขณะนี้เอง เย่เฉินปิดกั้นเส้นลมปราณทั้งหมดของจางชวนด้วยปราณทิพย์บางๆ และตะโกนอย่างเย็นชาว่า “ถ้าไม่อยากจะกลายเป็นคนพิการไปตลอดชีวิต ก็คุกเข่าลงอย่างเชื่อฟังซะ!”
จางชวนทั้งคนตกตะลึงไปเลยทันที!
เขาตระหนักในทันทีว่า เส้นลมปราณเส้นที่ห้าที่เขาใช้เวลาครึ่งชีวิต และผ่านความทุกข์ยากนับไม่ถ้วนถึงจะเปิดได้ กลับถูกพลังที่ไม่รู้จักปิดกั้นอย่างสมบูรณ์งั้นเหรอ!
ในเวลานี้ หัวใจทั้งดวงของเขาก็ทรุดลงทันที เขาไม่มีเวลาที่จะไปสนใจผลกระทบทางจิตใจในตอนเมื่อกี้นี้ ทรุดตัวลงและคุกเข่าลงบนพื้นแล้วร้องไห้เสียงดังขึ้นมา “ท่านผู้อาวุโส…….ขอความกรุณาท่านผู้อาวุโสด้วยเถอะ……….”
สำหรับจางชวนแล้ว เขาไม่ใช่นักบู๊ที่ได้รับการฝึกฝนจากตระกูลเฟ่ย เพียงแต่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ให้รับใช้ตระกูลเฟ่ยเท่านั้น
ดังนั้นความจงรักภักดีของเขาที่มีต่อตระกูลเฟ่ย จึงไม่สามารถพูดได้ว่าแข็งแกร่งมากแค่ไหน
แน่นอนว่าการเชื่อฟังก่อนหน้านั้น มาจากมุมมองของอาจารย์และส่วนได้ทั้งนั้น
แต่ตอนนี้ ฐานการฝึกฝนของตัวเองกลายเป็นศูนย์ในช่วงเวลาสั้นๆ และความพยายามทั้งชีวิตของเขาถูกทำลายในคราวเดียว ในสถานการณ์เช่นนี้ พ่อลูกตระกูลเฟ่ยยังจะถือเป็นอะไรได้? แม้ว่าอาจารย์และศักดิ์ศรีของตัวเองก็ไม่มีความสำคัญอีกต่อไป ทั้งหมดที่เขาอยากได้ ก็คือการรักษาการฝึกฝนของตัวเอง มิฉะนั้น เขาก็อาจจะกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ได้……..
เย่เฉินเหลือบมองจางชวนที่กำลังร้องไห้ด้วยความรังเกียจ และพูดอย่างเย็นชาว่า “คุกเข่าให้ไกลหน่อย!”
จางชวนไม่กล้าพูดอะไรมากไปกว่านี้ เขารีบคุกเข่าและขยับไปที่มุมผนัง ในเวลานี้ เขาก็สำลักอย่างอดไม่ได้และพูดว่า “ผู้อาวุโส…….ฉันเป็นคนรับค่าจ้างของผู้อื่น และทำงานให้คนอื่น หวังว่าผู้สูงส่งอย่างคุณจะไม่ถือสากับผู้ต่ำต้อยอย่างฉัน……..”
เย่เฉินโบกมือ “คุณก็คุกเข่าอยู่ที่นี่ไปเลย สักพักจะมีคนมาสั่งสอนคุณแทนฉันเอง! ถ้าคุณกล้าที่จะขยับตัวแม้เพียงเล็กน้อยก่อนหน้านั้น ฉันจะหักมือและเท้าของคุณ ปล่อยให้คุณเป็นไม่ได้แม้แต่คนธรรมดา!”
เมื่อจางชวนได้ยินคำพูดนี้ ใบหน้าของเขาก็ตกตะลึงขึ้นมาในทันใด
เขาไม่รู้ว่าเย่เฉินจะหาใครมาสั่งสอนเขากันแน่ แต่เมื่อเขานึกถึงการคุกคามของเย่เฉิน เขาก็รู้สึกหวาดกลัว
สำหรับนักบู๊คนหนึ่ง การสูญเสียฐานการฝึกฝนตนทั้งหมดนั้นมันก็หนักพอที่จะรับได้แล้ว แต่ถ้าไม่มีโอกาสที่จะเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งเลย งั้นก็เหมือนกับจะต้องตกนรกชั้นที่สิบแปด จากสวรรค์ชั้นที่เก้าโดยตรงเลยทีเดียว และเขายอมตายดีกว่า ก็ไม่ยอมให้มีจุดจบแบบนั้นหรอก
ดังนั้น เขาจึงทำได้เพียงสำลักด้วยความกลัวและพูดว่า “ผู้อาวุโสวางใจเถอะ ฉันจะคุกเข่าอยู่ที่นี่ และคุกเข่าจนกว่าคุณจะหายโกรธ……..”
เฟ่ยซานไห่และเฟ่ยเสวปิงตะลึงไปอย่างสมบูรณ์เลย
เฟ่ยเสวปิงอดไม่ได้ที่จะบ่นอยู่ในใจว่า “นี่……นี่แม่งมันอะไรกันเนี่ย? ทันทีที่มาถึงก็โยนคิงบอมบ์ของตัวเองออกไปแล้ว ไม่นึกเลยว่าคิงบอมบ์ของตัวเอง อยู่ในสายตาของคนอื่นยังเทียบไม่ได้เท่าเลขสามคู่ของแม่งเลยทีเดียว………”
เฟ่ยซานไห่ตกใจมากยิ่งขึ้น และเขาก็อดคิดไม่ได้ที่จะคาดเดากับสถานการณ์ปัจจุบันในหัวใจของเขา “ในห้องแห่งนี้ พ่อลูกพวกเราไม่ได้จัดบอดี้การ์ดคนอื่น นอกจากจางชวนเลย และตอนนี้จางชวนก็คุกเข่าอยู่ที่มุมห้องเป็นไอ้ขี้ขลาดทั้งคนเลย แล้วฉันกับลูกชายจะเป็นคู่ต่อสู้กับเจ้าเด็กคนนี้ได้อย่างไร? นี่แม่งจะคว่ำเรืออยู่ในรางน้ำเล็กแล้วเหรอ……”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็รีบลุกขึ้นอย่างประหม่า ประสานมือของเขา โค้งคำนับและพูดว่า “วีรบุรุษหนุ่มใจเย้น…….”