ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 4163 แค่ปรับตัวสักหน่อยก็ได้แล้ว
ในเวลานี้หลี่ญ่าหลินจำเฉินจ้างโจงไม่ได้จริงๆ เขายิ้มแหยๆ และพูดเยาะเย้ยตัวเองว่า “ผมไม่ใช่นักสืบอะไร ก็แต่เป็นชื่อเสียงจอมปลอมเท่านั้น”
อานโฉงชิวพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เถ้าแก่ อย่าไปสนใจเขาเลย เขาถูกแทงใจดำมา พวกเรายังไม่ได้กินข้าว คุณน่าจะยังพอมีอะไรให้กินใช่ไหม? เมื่อกี้ผมเห็นมีเด็กวัยรุ่นสองคนเข้ามาแล้ว”
เมื่อเห็นว่าหลี่ญ่าหลินจำเขาไม่ได้จริงๆ เฉินจ้างโจงก็โล่งใจและพูดว่า “อันที่จริงพวกเราปิดร้านแล้ว ที่คุณเห็นเมื่อกี้เป็นลูกของเพื่อนสนิทผม สายมากแล้วพวกเขาก็ยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเหมือนกัน ผมก็เลยให้พวกเขาขึ้นไปชั้นบน ”
ขณะที่เขาพูด เฉินจ้างโจงก็พูดอีกครั้ง “แต่ในเมื่อคุณมาแล้ว ย่อมไม่อาจให้ทั้งสองท่านมาเสียเที่ยว เอาแบบนี้แล้วกัน คุณทั้งสองนั่งที่ชั้นหนึ่ง อยากทานอะไรบอกพนักงานเสิร์ฟได้เลย ผมจะเตรียมให้”
“ได้” อานโฉงชิวพยักหน้าและยิ้ม “ต้องขอบคุณคุณแล้วเถ้าแก่”
พูดจบ เขาพูดกับหลี่ญ่าหลินว่า “ญ่าหลิน หาที่นั่งเถอะ ฉันจะให้นายได้ลองห่านย่างสไตล์กวางตุ้งที่ดีที่สุดในนิวยอร์ก”
หลี่ญ่าหลินเดาะปากของเขาและพูดว่า “โอ้ อันที่จริงตอนนี้ฉันอยากดื่มสักสองแก้ว”
พูดจบ เขาก็เงยหน้ามองขึ้นไปที่ตู้เก็บไวน์ขนาดเล็กซางอยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์ร้านอาหาร ละพูดด้วยความประหลาดใจ “เถ้าแก่ คุณมีเหล้าเอ้อร์กัวโถวที่นี่ด้วยหรือ?”
“ใช่” เฉินจ้างโจงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นำเข้าจากจีน คุณอยากลองดื่มสักขวดไหม?”
หลี่ญ่าหลินยิ้มอย่างพอใจและพูดว่า “ตกลง! เอามาสองขวด!”
อานโฉงชิวอดแซวไม่ได้ “กลางวันแสกๆนายดื่มมากขนาดนี้ ตอนบ่ายไม่ทำงานหรือไง?”
หลี่ญ่าหลินส่ายหัว “ยังไงฉันก็หาเบาะแสอะไรไม่ได้เลย ตอนบ่ายก็ไปนอนที่สำนักงาน ฉันวิ่งเล่นมาสองวันแล้ว ได้เวลานอนแล้ว”
อานโฉงชิวพยักหน้าและพูดตอบไปว่า “อืม ฉันดื่มเป็นเพื่อนนาย ดื่มเสร็จฉันจะกลับบ้านไปนอน พรุ่งนี้เช้าก็กลับไปลอสแองเจลิส”
หลี่ญ่าหลินประหลาดใจและถามว่า “ทำไมนายถึงไปเร็วนัก? ไม่อยู่ที่นิวยอร์กอีกสักสองวัน?”
อานโฉงชิวโบกมือแล้วพูดว่า “อยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว ฉันต้องกลับไปดูพ่อ มาจากจีนมาหลายวันแล้วยังไม่กลับไป”
หลี่ญ่าหลินพยักหน้าด้วยความเข้าใจอย่างยิ่งและกล่าวว่า “อย่างนั้นก็สมควรกลับไปดูหน่อยแล้ว ฝากสวัสดีคุณท่านและนายหญิงใหญ่แทนฉันด้วย”
พูดไป เขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้และเอ่ยถามว่า “คุณท่านน่าจะยังจำฉันได้ใช่ไหม?”
อานโฉงชิวพยักหน้า “จำได้”
“อย่างนั้นก็ดีแล้ว”
ในขณะนี้ เย่เฉินที่อยู่บนชั้นสองก็รู้สึกนั่งไม่ติดอยู่บ้าง
เขาไม่ต้องการที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลฝั่งตาของเขา แต่การที่เขาต้องมาอยู่ใกล้กับน้าชายใหญ่ของตนเพียงกำแพงกั้นแบบนี้ ก็ยังทำให้เขารู้สึกแปลกใจขึ้นมาไม่มากก็น้อย
จะบอกว่าแปลก แต่จริงๆส่วนมากคือเกิดความขัดแย้งขึ้นมาเสียมากกว่า
ต้นตอของความขัดแย้งคือ ด้านหนึ่งเย่เฉินต้องการขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์กับพวกเขาอย่างชัดเจน แต่อีกด้านหนึ่ง เขาก็อดไม่ได้ที่จะอยากเข้าไปทักทายและถามเขาว่าทำไมตอนนั้นตระกูลอานถึงได้ดูหมิ่นพ่อของเขามากขนาดนั้น?
นอกจากนี้ เขายังต้องการถามอีกว่า ตระกูลอานแท้จริงแล้วรู้สาเหตุที่แท้จริงว่าทำไมพ่อแม่ของเขาถึงถูกฆ่าหรือไม่
กู้ชิวอี๋ซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามเย่เฉินเห็นความไม่สบายใจของเขา เธอเอื้อมมือออกไปและจับมือเขาเบาๆ ก่อนจะมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยนและพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “พี่เย่เฉิน คุณเป็นอะไร?”
เย่เฉินพูดอย่างขอไปทีว่า “ไม่มีอะไรนี่ ฉันสบายดี”
“ไม่สักหน่อย” กู้ชิวอี๋พูดอย่างจริงจัง “คุณกำลังรู้สึกอึดอัดอย่างมากเพราะน้าชายใหญ่ของคุณที่นั่งอยู่ข้างล่างใช่ไหม?”
“คงประมาณนั้น” เย่เฉินเองก็ไม่ได้พยายามทำตัวแข็งแกร่ง เขาพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อยอมรับมัน
จู่ๆกู้ชิวอี๋รู้สึกปวดใจกับเย่เฉินอยู่บ้าง
เธอรู้ว่าแม้ดูแล้วเย่เฉินจะแข็งแกร่งและประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในตอนนี้ แต่เขาก็มีช่วงเวลาที่เลวร้ายมานานกว่าสิบหรือยี่สิบปีหลังจากที่พ่อแม่ของเขาเสียชีวิต ดังนั้นส่วนลึกในใจของเขาจึงมีความอ่อนไหวบางอย่างอยู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้นเธอจึงจับมือเย่เฉินและพูดอย่างจริงจังว่า “พี่เย่เฉิน ถ้าคุณรู้สึกไม่สบายใจที่จะนั่งที่นี่ ฉันจะให้คุณยืมหน้ากาก แล้วพวกเราออกไปกันเถอะ!”
เย่เฉินยิ้มและพูดว่า “ไม่เป็นไร แค่ปรับตัวสักหน่อยก็ได้แล้ว!”