ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 4172 จะต้องผ่านพ้นได้แน่
อานโยวโยวพาอานโฉงชิว วิ่งไปจนถึงศูนย์การแพทย์ของตระกูลอาน
ศูนย์การแพทย์แห่งนี้ไม่เพียงแต่มีผู้เชี่ยวชาญชั้นนำจากหลายแผนกเท่านั้น แต่ยังมีห้องไอซียู ห้องคลอด และห้องผ่าตัดอีกหลายแห่ง
อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ของที่นี่ถึงขั้นที่สามารถรับมือกับการปลูกถ่ายอวัยวะที่ซับซ้อนที่สุดในโลกได้
ในเวลานี้ อานฉี่ซานคุณท่านตระกูลอาน กำลังนอนอยู่ในหอผู้ป่วยไอซียูที่ใหญ่ที่สุดในศูนย์การแพทย์
ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยอุปกรณ์และท่อต่างๆ ใบหน้าสวมด้วยหน้ากากออกซิเจน และอาศัยเครื่องช่วยหายใจในการประคองลมหายใจอันน้อยนิด
ภรรยาของเขา ซึ่งก็คือยายของเย่เฉินนั่งอยู่ข้างๆ เขา สองมือค่อยๆลูบมือขวาของเขาอย่างอ่อนโยนและร้องไห้อยู่ก่อนหน้าแล้ว
แม้ว่าแพทย์หลายคนจะคอยอยู่เคียงข้าง แต่ตอนนี้พวกเขาก็ไม่มีอะไรให้ทำแล้ว
ในสายตาของพวกเขา ชีวิตของอานฉี่ซานมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ราวกับไส้ตะเกียงน้ำมันที่ถูกเผาไหม้จนหยดสุดท้าย เปลวไฟมีขนาดเล็กจนแทบจะมองไม่เห็น ในขณะเดียวกันก็วูบไหวไม่ปกติ ราวกับว่าอาจจะดับลงเมื่อใดก็ได้
ในเวลานี้ สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้ก็คือรอให้ไฟดับลงสนิท ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่คิดเข้าไปแทรกแซง แต่ในสถานการณ์แบบนี้ แม้ว่าอัตราการหายใจจะสูงขึ้นเล็กน้อย ก็ยังอาจทำให้เปลวไฟสุดท้ายดับลงได้ ดังนั้นการรักษาที่ดีที่สุดคืออย่าไปยุ่งกับมันและปล่อยให้น้ำมันและไฟสองสามเส้นสุดท้ายที่เหลืออยู่ในไส้ตะเกียงไหม้ลงจนหมด
ลูกหลานคนอื่นๆในตระกูลอาน ต่างก็พร้อมหน้ากันอยู่ในห้องพักผ่อนของห้องไอซียู
น้ารองและน้าสามของเย่เฉินกำลังนั่งเคียงข้างกันบนโซฟา นอกจากนี้ยังมีชายชราร่างรูปร่างผอม ผมเคราหงอก ดูคล้ายเซียนคนหนึ่งอยู่ ในเวลานี้กำลังนั่งตรงข้ามพวกเขา มือข้างหนึ่งประหกบเป็นมุทรา และไม่รู้ว่ากำลังพึมพำท่องอะไร
หลานๆของตระกูลอานคนอื่นๆ รวมถึงสตรีคนอื่นๆ ก็กำลังนั่งอยู่ที่ม้านั่งทั้งสองข้างของโซฟา ท่าทางโศกเศร้า
เมื่ออานโยวโยวและอานโฉงชิวพุ่งเข้ามา ทุกคนในนั้นก็ลุกขึ้นทันที
อานข่ายเฟิงรีบวิ่งเข้าไปด้วยดวงตาแดงก่ำและคว้าแขนของอานโฉงชิวเอาไว้พร้อมเอ่ยสะอื้น “พี่ใหญ่… ในที่สุดคุณก็กลับมา…”
จ้าวอานหนานอดไม่ได้ที่จะสูดจมูกก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นๆ “พี่ใหญ่ พ่ออยู่ในอาการโคม่าและยังไม่ฟื้นเลย แม่อยู่ในนั้นเป็นเพื่อนเขา พี่รีบเข้าไปดูเถอะ”
อานโฉงชิวพยักหน้าอย่างหนักและพูดอย่างหนักแน่นว่า “พวกนายอย่าเพิ่งมองโลกในแง่ร้ายเกินไป พ่อประสบกับลมฝนพายุมาทั้งชีวิต ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ สำหรับเขาแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เขาจะต้องผ่านพ้นไปได้แน่”
ฝูงชนพยักหน้า แต่สีหน้ากับไม่มีความมั่นใจนั้นแสดงออกมา
เมื่อเห็นว่าทุกคนต่างหมดกวังแล้ว ในใจของอานโฉงชิวก็รู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงรีบพูดว่า “พวกนายออกไปรอข้างนอกก่อน ฉันจะเข้าไปหาพ่อ!”
พูดจบ เขาก็ผลักประตูและเข้าไปคนเดียว
เมื่อนายหญิงใหญ่เห็นเขาเข้ามา เธอก็รู้สึกควบคุมความรู้สึกไม่อยู่บ้างแล้วและร้องไห้เอ่ยขึ้น “อานโฉงชิว…โฉงชิว… ดูเหมือนว่าพ่อของลูกจะไม่ไหวแล้วโฉงชิว… แม่ควรทำอย่างไรดีโฉงชิว … ”
ขณะพูด ร่างของนายหญิงใหญ่ก็สั่นคลอนเล็กน้อยและเกือบจะล้มลงไปข้างหนึ่ง
อานโฉงชิวรีบเข้าไปข้างหน้า สองมือประคองเธอเอาไว้ เขาระงับความรู้สึกที่อยากจะร้องไห้ออกมาและเอ่ยสะอื้น “แม่… ไม่เป็นไร พ่อจะต้องไม่เป็นไร… ช่วงนี้เขาเหนื่อยเกินไป ต้องการพักผ่อนสักหน่อย ไม่แน่อีกสักพักเขาอาจจะตื่นขึ้นก็ได้..”
นายหญิงใหญ่ส่ายหัวช้าๆ และมองไปที่อานฉี่ซานซึ่งอยู่บนเตียงผู้ป่วย สายตาของเธอเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและสิ้นหวัง
นอกจากนี้เธอยังเป็นผู้มีการศึกษาสูง และเป็นคนที่เผชิญมาแล้วกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมา ไหนเธอจะไม่รู้สถานการณ์ของสามีในตอนนี้
มือหนึ่งของเธอจับมือสามีของเธอเอาไว้ ส่วนอีกมือจับมือของลูกชายคนโต ก่อนจะเอ่ยเสียงกระซิบเสียงเบา “พ่อของลูกน่ะ… คิดถึงพี่สาวของลูกมากเกินไป…ระยะนี้… สภาพร่างกายของเขาแย่ลงกว่าเดิมทุกวัน เขานอนไม่หลับทั้งคืนเพราะคิดถึงลูกสาว แม้ว่าร่างกายจะแข็งแรงมากขนาดไหน แต่หากยังคงเคี่ยวกรำแบบนี้ต่อไปก็ยากจะทนไม่ไหว…”
เมื่อได้ยินดังนั้น อานโฉงชิวเองก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้อีกต่อไปและเริ่มร้องไห้ออกมาอย่างไร้เสียงคนเดียว
ในเวลานี้ นายหญิงใหญ่มองขึ้นไปที่อานโฉงชิวและพูดอย่างจริงจังว่า “อานโฉงชิว…ถ้าพ่อของลูกทนกับอุปสรรคนี้ไปไม่ได้ ลูกก็ไปที่เย่นจิงสักครั้ง ไปที่ตระกูลเย่สักหน…”
อานโฉงชิวถามด้วยความตะลึง “แม่…นี่แม่หมายถึง…”
นายหญิงใหญ่กล่าวต่อไปว่า “ลูกจงไปเยี่ยมเยือนตระกูลเย่เพื่อขอโทษพ่อของพี่เขยลูก จากนั้นก็คิดหาวิธีขอให้เขายินยอมให้ลูกย้ายพี่สาวของลูกกลับมาจากหลุมศพของตระกูลเย่ ฉันอยากให้เธอกลับมาอยู่กับพ่อของลูก…”