ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 4190 ผ่านด่าน
ทันทีที่เขาได้ยินว่าเย่เฉินรออยู่ข้างนอก เฟ่ยเจี้ยนจงก็รู้สึกโล่งใจ
เย่เฉินอยู่ที่นี่ อย่างนั้นเขาก็ไม่มีอะไรต้องกังวล
นั่นเพราะ เขารู้ดีอย่างยิ่งว่าเย่เฉินทำอะไรได้บ้าง
ลูกชายคนโตของเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเย่เฉินอย่างแน่นอน
ในทางกลับกัน เฟ่ยเข่อซินเมื่อได้ยินว่าเย่เฉินรอตนอยู่ข้างนอกก็กลับรู้สึกประหม่าขึ้นมา ในใจของเธอแอบคิดอย่างวิตกกังวล “โอ๊ย ไม่นึกเลยว่าคุณเย่จะมาถึงนิวยอร์กแล้ว และคิดไม่ถึงเลยว่าจะได้เจอคุณเย่ที่นิวยอร์ก ถ้ารู้ว่าจะได้เจอคุณเย่ ก่อนลงจากเครื่องฉันจะต้องไปห้องน้ำแต่งหน้าแต่งตัวก่อนให้ได้..” .
“ระยะนี้ได้แต่ลอยอยู่ในทะเลมานาน วันๆไม่ได้แต่งหน้า ไม่รู้ว่าคุณเย่เห็นแล้วจะผิดหวังรึเปล่า…”
ซูรั่วหลีไม่รู้ว่าเฟ่ยเข่อซินกำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อเห็นว่าท่าทางของเธอกระวนกระวายอยู่บ้าง เธอจึงเข้าไปปลอบโยน “เข่อซิน คุณไม่ต้องกังวลมากเกินไป ในเมื่อคุณแย่อยู่ที่นิวยอร์กแล้ว อย่างนั้นก็จะไม่มีใครทำอะไรคุณได้”
เฟ่ยเข่อซินรู้ว่าซูรั่วหลีเข้าใจเธอผิด แต่เธอก็ไม่ต้องการอธิบายอะไรต่อ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ซูรั่วหลีเห็นความคิดของหญิงสาวขี้อายในใจของเธอ
ดังนั้น เธอจึงพยักหน้าเบา ๆ และพูดอย่างจริงจังว่า “ไม่ต้องกังวล ฉันไม่กลัวเลยสักนิด”
ซูรั่วหลียิ้มอย่างเบิกบานและเอ่ย “พวกเราลงไปกันเถอะ!”
กลุ่มคนลงจากเครื่องบินและตรงไปที่สำนักงานศุลกากรภายในอาคารสนามบิน ในเวลานี้ เย่เฉินกำลังยืนอยู่ที่ทางออกของสำนักงานศุลกากรและรออยู่ก่อนแล้ว
ก่อนที่เฟ่ยเข่อซินจะผ่านด่านศุลกากร เธอก็เห็นเย่เฉินแล้ว เมื่อเห็นว่าเย่เฉินยิ้มให้ตน เธอก็รีบโบกมือให้เย่เฉินอย่างรวดเร็ว
ต่อจากนั้น ทั้งสี่คนก็เข้าแถวที่หน้าต่างต่าง ๆ เพื่อผ่านด่านศุลกากร
เฟ่ยเจี้ยนจง เฟ่ยเข่อซินและ หยวนจื่อซู ล้วนเป็นชาวอเมริกันทั้งหมด อีกทั้งซูรั่วหลีเองก่อนหน้านี้ก็ได้รับกรีนการ์ดของอเมริกาเพื่อความสะดวกในการคุ้มกันซูโสว่เต้า ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถผ่านเข้าผ่านด่านศุลกากรแบบบริการตนเองได้โดยตรงด้วยการสแกนหนังสือเดินทาง ซึ่งมีประสิทธิภาพมาก
หลังจากที่ทั้งสี่คนผ่านด่านศุลกากรแล้ว พวกเขาก็มาถึงตรงหน้าเย่เฉิน
แม้ว่าเฟ่ยเข่อซินจะไม่ค่อยมั่นใจในใบหน้าที่ไม่ได้เติมแต่งของตน แต่เธอก็ยังคงยากจะซ่อนความสุขเอาไว้ได้และพูดกับเย่เฉินว่า “คุณเย่ คุณมาที่นิวยอร์กได้อย่างไร?”
เย่เฉินยิ้มและพูดว่า “ฉันมาทำธุระนิดหน่อย”
เฟ่ยเจี้ยนจงเองก็รีบทำความเคารพเย่เฉินและกล่าวด้วยความเคารพว่า “คุณเย่ พวกเราพบกันอีกแล้ว!”
เย่เฉินพยักหน้าเล็กน้อยก่อนยิ้มและพูดว่า “คุณเฟ่ย รู้สึกอย่างไรบ้างที่ได้กลับมานิวยอร์ก?”
เฟ่ยเจี้ยนจงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจและพูดว่า “พูดตามตรงนะคุณเย่ ตอนนี้ในใจของฉันยังกังวลอยู่บ้าง ฉันไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ คุณถึงให้พวกเรากลับมาที่นิวยอร์ก?”
เย่เฉินกล่าวยิ้มๆว่า “ผมเชิญคุณสองคนกลับมา เพราะมีงานใหญ่ที่ต้องให้คุณสองคนเป็นพยาน”
พูดไป เขาก็มองดูเวลาแล้วพูดว่า “พวกเรารีบไปกันเถอะ เวลาผ่านไปนานแล้ว คาดว่าตระกูลเฟ่ยน่าจะรู้แล้วว่าพวกคุณกลับมาแล้ว ก่อนที่พวกเขาจะได้รับข่าว พวกเราไปกันก่อนเถอะ”
“ดี!” เฟ่ยเจี้ยนจงรีบตกลงอย่างรวดเร็ว นั่นเพราะเขากลัวว่าลูกชายของตนจะส่งคนมาไล่ฆ่าตัวเอง
เขารู้อย่างชัดแจ้งว่า ตระกูลเฟ่ยมีความสามารถในการตรวจสอบข้อมูลการเข้าและออกของศุลกากรในสหรัฐอเมริกา เมื่อเขาและหลานสาวเข้าสู่ด่านศุลกากรในสนามบินและผ่านพิธีการทางศุลกากรเรียบร้อยแล้ว ข้อมูลจะถูกส่งกลับไปยังระบบการเข้าและออกทันที และลูกชายของเขาจะได้รับข้อมูลในไม่ช้า
ดังนั้นเขาจึงรีบออกจากอาคารสนามบินไปพร้อมกับเย่เฉิน
ในเวลานี้ ด้านนอกอาคารสนามบิน มีเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งจอดรออยู่ที่ลานจอด เย่เฉินพาคนทั้งสี่ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไป จากนั้นมันก็บินพุ่งขึ้นจากพื้นทันทีและมุ่งหน้าไปตามชายหาดยาว
และในช่วงเวลาก่อนหน้าที่เฟ่ยเจี้ยนจงและเฟ่ยเข่อซินผ่านด่านศุลกากร สายสืบของตระกูลเฟ่ยที่ถูกส่งเข้าไปในด่านศุลกากรก็ได้รับคำเตือนล่วงหน้าผ่านระบบภายในแล้วเช่นกัน
บุคคลนี้ได้รับคำสั่งจากเฟ่ยซานไห่ตั้งนานแล้วว่า หากเฟ่ยเข่อซินและเฟ่ยเจี้ยนจงกลับมา เขาจะต้องรายงานไปในทันที ดังนั้นเขาจึงส่งข้อความหาเฟ่ยซานไห่ทันที เนื้อหาในข้อความคือ “เฟ่ยเจี้ยนจงและเฟ่ยเข่อซินเข้าสู่ด่านศุลกากรจากสนามบินเคเนดี้ในนิวยอร์กเมื่อสองนาทีที่แล้ว!”
น่าเสียดายเนื่องจากโรคพิษสุราเรื้อรัง เฟ่ยซานไห่กำลังนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลของแผนกการแพทย์ของเขาเอง