ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 4191 ทำไมถึงได้มีอารมณ์สุนทรีย์มากขนาดนี้!
เขาและลูกชายของเขาที่ถูกเย่เฉินมอมเหล้าขาวไปเมื่อตอนกลางวัน ตอนนี้ต่างเมาจนไม่ได้สติไปแล้ว
ต่อมาเมื่อคนใช้ส่งพวกเขามาที่นี่ หลังจากการตรวจสอบจากแพทย์โดยสังเขปก็พบว่าทั้งสองคนมีอาการพิษสุราเรื้อรังอย่างรุนแรงและต้องเริ่มการช่วยเหลือทันที
การช่วยเหลือผู้ป่วยโรคพิษสุราเรื้อรังแบบนี้เป็นเรื่องที่ลำบากมาก ไม่เพียงแต่ต้องให้น้ำยาล้างกระเพาะ ให้น้ำเกลือเท่านั้น แต่ยังรวมถึงต้องฟอกเลือดด้วย เพื่อลดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดของพวกเขาอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองพ่อลูกอายุไม่น้อยแล้ว เมื่อผ่านการทรมานแบบนี้ต่อให้ไม่ตายก็ถือว่าก้าวเท้าเข้าไปแล้วครึ่งหนึ่ง
แม้ว่าเฟ่ยเสวปิงจะอายุน้อยกว่าเฟ่ยซานไห่ไม่น้อย แต่เขาก็ดื่มไปไม่น้อยกว่าเฟ่ยซานไห่ ดังนั้นอาการของคนสองคนจึงแตกต่างกันไม่มากเท่าไหร่
ดังนั้น มาจนถึงขณะนี้ สองพ่อลูกถึงค่อยฟื้นขึ้นมา
แม้ว่าทั้งสองคนจะฟื้นขึ้นมาแล้วก็ตาม แต่พวกเขาก็อ่อนแรงไปทั้งตัวโดยไม่มีข้อยกเว้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการลุกจากเตียง เพราะแม้แต่แขนพวกเขาก็ยังยกไม่ขึ้น
ในเวลานี้ นอกเหนือจากภรรยาของเฟ่ยซานไห่แล้ว ยังมีภรรยาของเฟ่ยเสวปิงและน้องชายและน้องสาวอีกหลายคน
เมื่อนายหญิงใหญ่เห็นว่าในที่สุดพวกเขาก็ลืมตาขึ้น เธอก็ร้องไห้คร่ำครวญทันทีว่า “พวกเธอทั้งสองอายุก็ไม่น้อยแล้ว ในใจไม่รู้จักยั้งคิดเลยหรือไง? ดื่มเหล้ายังดื่มจนกระทั่งเป็นโรคพิษสุราเรื้อรังได้ยังไงกัน หมอบอกว่าถ้าพวกเธอสองคนมาช้าไปกว่านี้อีกนิด พวกเธอสองคนก็คงจะตายไปแล้ว! ทำไมพวกเธอถึงได้มีอารมณ์สุนทรีย์อะไรขนาดนั้นกัน? ยังหาหลานชายสุดที่รักของฉันไม่พบอยู่เลยนะ!”
ในเวลานี้ เฟ่ยซานไห่รู้สึกวิงเวียนและกระหายน้ำ ทั้งตัวของเขารู้สึกอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง
เดิมทีเขาเห็นสถานการณ์แบบนี้ ในใจก็ไม่อยากจะพูดอะไร แต่เมื่อได้ยินภรรยาบ่นเรื่องนี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะมีสีหน้าน้อยใจและเอ่ยว่า “เธอคิดว่าฉันอยากดื่มมากขนาดนั้นหรือไง? เป็นเพราะไอ้หน้าตัวเมียแซ่เย่นั้นบีบบังคับ!”
“หา?!” นายหญิงใหญ่อุทาน “แซ่เย่ที่ไหนกัน?”
เฟ่ยเสวปิงที่อยู่ด้านหนึ่งพูดอย่างขมขื่น “พวกเราเชิญกู้ชิวอี๋มาเป็นแขกของเราในตอนเที่ยง ส่วนคนแซ่เย่นั่นมากับเธอ”
นายหญิงใหญ่ยิ่งงุนงงและโพล่งออกมา “เขาขอให้พวกเธอดื่มพวกเธอก็ดื่มหรือไง อีกทั้งยังดื่มจนเอาเป็นเอาตายด้วย พวกเธอสองคนไม่มีตามองดูหรือไง?”
เฟ่ยซานไห่ถูกดุนายหญิงใหญ่ด่าต่อหน้าลูก ๆ ของตน ในใจก็ยิ่งรู้สึกแย่ลงไปอีก เขาพูดอย่างโกรธเคืองว่า “เธอคิดว่าพวกเราอยากดื่มหรือไงกัน? ตอนนั้นคนแซ่เย่แสดงท่าทีออกมาชัดเจนว่า หากไม่ดื่มเหล้าจนหมดก็จะฆ่าพวกเรา พวกเราจะทำอะไรได้อีก?”
นายหญิงใหญ่พูดอย่างโกรธเคือง “ก็จัดการเขาสิ! แค่คนไร้ชื่อเสียงคนหนึ่ง กล้ามาหยิ่งผยองในตระกูลเฟ่ยขนาดนี้! เขาอยู่ไหน?!”
“ไปตั้งนานแล้ว” เฟ่ยเสวปิงกล่าวด้วยใบหน้าหดหู่ “เจ้าคนแซ่เย่นั่นแข็งแกร่งมาก แม้แต่จางชวนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่ฮ่าวหยางก็ถูกเขาลักพาตัวไป! แม่ว่าพวกเราจะทำอะไรได้ในเวลานั้น … ”
นายหญิงใหญ่ตกตะลึงไปและถามว่า “นายพูดอะไรนะ? เขาเป็นคนลักพาตัวฮ่าวหยาง?!”
“ใช่…” เฟ่ยเสวปิงถอนหายใจ “เขายอมรับออกมาด้วยตัวเอง ตอนนั้นฉันอยากให้จางชวนจับเขาเอาไว้ แต่ใครจะไปรู้ว่า จางชวนนั่นเมื่ออยู่ต่อหน้าคนแซ่เย่ สภาพกลับแย่กว่าสุนัขตัวหนึ่งด้วยซ้ำ คนแซ่เย่แค่ตบเขาไปไม่กี่ที เขาก็คุกเข่าลงเหมือนสุนัขและขอความเมตตา”
เฟ่ยเสวจิ้น น้องชายของเฟ่ยเสวปิงถามอย่างอดไม่ได้ว่า “ไม่น่าล่ะ…จางชวนนั่นเอาแต่คุกเข่าอยู่ในร้านอาหาร เรียกก็ไม่ยอมลุก ฉันคิดไปว่าเขากลัวว่าพวกเราจะลงโทษเขาเพราะพวกคุณดื่มเยอะไปเสียอีก ถึงได้คุกเข่าสำนึกผิด…”
“บ้าบอ!” เฟ่ยเสวปิงเอ่ยอย่างโกรธเคือง “เขากลัวคนแซ่เย่นั่น! ดูเหมือนว่าคนแซ่เย่นั่นจะทำลายพลังของเขาไป ดังนั้นเขาจึงคุกเข่าอยู่ที่นั่นไม่กล้าขยับ! ไอ้ชั่วกินบนเรือนขี้รดบนหลังขา ฉันจะต้องฆ่ามันให้ได้!”
เฟ่ยเสวจิ้น คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้และพูดว่า “ใช่สิพี่ใหญ่ จางชวนบอกกับผมว่า คนแซ่เย่นั่นเอ่ยปากเอาไว้แล้ว ว่าคืนนี้เขาจะกลับมาอีก!”
เฟ่ยซานไห่และเฟ่ยเสวปิงตัวสั่นขึ้นมาในเวลาเดียวกัน ก่อนจะโพล่งออกมาด้วยความสยองขวัญ “นายกำลังพูดถึงอะไร?!”