ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 4192 ศูนย์พักพิงฉุกเฉิน
สำหรับสองพ่อลูกตระกูลเฟ่ย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเพิ่งได้พบกับเย่เฉินเพียงครั้งสองครั้งเท่านั้น แต่พวกเขาก็หวาดกลัวเย่เฉินถึงขีดสุด
และนี่เป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมหลังจากที่พวกเขาต้องเจอความอัปยศอดสูจากเย่เฉินทั้งด้านจิตวิญญาณและร่างกายและรู้ว่าเย่เฉินเป็นคนลักพาตัวหลานชายของพวกเขาไปแต่ก็ยังไม่กล้าไปหาเย่เฉินเพื่อแก้แค้น
แต่สิ่งที่พวกเขาไม่คาดคิดก็คือ การที่พวกเขาไม่กล้าไปหาเย่เฉิน นั่นไม่ได้หมายความว่าเย่เฉินจะไม่กล้ามาหาพวกเขา
เฟ่ยซานไห่ทั้งตกใจและหวาดกลัว ก่อนจะรีบพูดอย่างรวดเร็วว่า “เร็วเข้า! รีบรวบรวมบอดี้การ์ดทั้งหมดมา! ตรวจสอบให้แน่ใจว่าพวกเขาติดอาวุธด้วยปืนจริง! หากคนแซ่เย่นั่นมาก็สุ่มยิงมันซะ!!!”
เฟ่ยเสวจิ้น ไม่กล้าชักช้า เขารีบพูดว่า “ได้ครับพ่อ ผมจะๆไปจัดการเดี๋ยวนี้!”
เฟ่ยซานไห่พูดอีกครั้ง “เร็วเข้า! พาฉันไปที่ศูนย์พักพิงฉุกเฉินก่อน!”
สำหรับตระกูลขนาดใหญ่เช่นตระกูลเฟ่ย จะต้องมีการพิจารณาถึงอันตรายรอบด้านที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้นพวกเขาจึงมีศูนย์พักพิงฉุกเฉินที่สร้างขึ้นในใต้ดินกว่า 100 เมตรภายในวิลล่า
ศูนย์พักพิงฉุกเฉินนี้สามารถต้านทานการโจมตีด้วยนิวเคลียร์ได้ และแทบจะจะอยู่ในระดับเดียวกับศูนย์พักพิงฉุกเฉินในทำเนียบขาว
ตราบใดที่สามารถซ่อนตัวในศูนย์พักพิงฉุกเฉินและปิดทางเดินลงอย่างสมบูรณ์ แม้แต่เทพเซียนผู้ยิ่งใหญ่ก็ทำอะไรผู้คนภายในได้
นอกจากนี้ในนั้นยังมีระบบช่วยชีวิตที่ทรงพลังและมีของอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับคนมากกว่าสิบที่จะอาศัยอยู่ในนั้นเป็นเวลาหนึ่งปี
อย่างไรก็ตาม ศูนย์พักพิงฉุกเฉินแห่งนี้ไม่เคยถูกนำไปใช้จริง ๆ เลยนับตั้งแต่ที่มันถูกสร้างขึ้นมาจนถึงตอนนี้ ดังนั้นมันจึงกลายเป็นเพียงสถานที่สแตนด์บายสิ่งอำนวยความสะดวกเท่านั้น
ตระกูลเฟ่ยยังเชื่อว่า ขอแค่ไม่มีสงครามโลกครั้งที่สาม สถานที่นี้ก็จะไม่ถูกใช้งาน
แต่ไม่มีใครคาดคิดว่า ศูนย์พักพิงฉุกเฉินนี้จะต้องถูกใช้ขึ้นมาเพียงเพราะชายหนุ่มคนหนึ่ง
นายหญิงใหญ่ยังคงสับสนอยู่บ้างและพูดว่า “ซานไห่ คุณจำเป็นต้องทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้เลยหรือ? ต่อให้เด็กแซ่เย่นั้นจะแข็งแกร่งกว่าจางชวน แต่พวกเรามีบอดี้การ์ดติดอาวุธมากมายขนาดนี้ หรือว่านี่จะทำอะไรเขาไม่ได้เลยหรือไง?”
เฟ่ยซานไห่พูดอย่างตระหนก “ฉันเองก็ไม่รู้ว่าบอดี้การ์ดมากขนาดนั้นจะสามารถทำอะไรเขาได้ไหม แต่ฉันไม่กล้าเสี่ยง! ถ้าเธอถูกใครมาจับตัวแล้วเทเหล้าขาวเป็นลิตรให้กินแบบฉัน เธอก็ต้องกลัวเหมือนกัน!”
พูดไป เขาก็พูดตัดบท “พวกเธอไม่ต้องพูดจาอะไรให้มากความแล้ว รีบพาฉันไปที่ศูนย์พักพิงฉุกเฉินตอนนี้! เดี๋ยวนี้!”
นายหญิงใหญ่อ่อนใจ เธอจึงพูดกับเฟ่ยเสวหมิง ลูกชายคนที่สามของเธอว่า “เสวหมิง ลูกไปจัดหาคนมา และส่งพ่อของลูกไปที่ศูนย์พักพิงฉุกเฉิน”
เฟ่ยเสวหมิงในเวลานี้รีบพูดว่า “ผมเองก็จะไปด้วย!”
นายหญิงใหญ่ถลึงตาใส่เขาและพูดด้วยความไม่ได้ดั่งใจว่า “ดูท่าทางที่ไร้ยางอายของแกสิ! เจ้าคนแซ่เย่นั่นลักพาตัวลูกชายของแกไป แถมยังทำตัดหูของลูกแกด้วย! แกไม่เพียงแต่ไม่กล้าจะไปแก้แค้นให้กับลูกชายของแก แต่กลับยังมาทำตัวเป็นเต๋าหัวหด!”
เมื่อเฟ่ยซานไห่ได้ยินแบบนี้ สีหน้าของเขาก็ปั้นยากขึ้นมาทันที
ภรรยาดุลูกชายว่าเป็นเต่าหัวหด อย่างนั้นก็เท่ากับด่าตัวเองไปด้วยไม่ใช่หรือไง?
ในเวลานี้ เฟ่ยเสวปิงก็ยิ่งมีสีหน้าอับอายมากขึ้น จากนั้นก็รู้สึกว่าตนขึ้นหลังเสือแล้วยากจะลงอยู่บ้าง
ในเวลานี้เอง พ่อบ้านของเฟ่ยซานไห่รีบวิ่งเข้ามาโดยไม่แม้แต่จะเคาะประตู จากนั้นก็โพล่งออกมาว่า “คุณท่าน แย่แล้ว!”
เฟ่ยซานไห่ตัวสั่นด้วยความตกใจและถามออกไปอย่างไม่รู้ตัวว่า “เกิดอะไรขึ้น? เจ้าคนแซ่เย่นั่นกลับมาแล้วหรือ
พ่อบ้านส่ายหัวและพูดว่า “เป็นนายท่านใหญ่และคุณหนูเข่อซินที่กลับมา!”
เมื่อเฟ่ยซานไห่ได้ยินดังนั้น เขาก็ตกตะลึงตาค้างและโพล่งถามว่า “พวกเขากลับมาได้ยังไง?! กลับมาเมื่อไหร่?! คนอยู่ที่ไหน?!”