ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 4197 ชีวิตสำคัญกว่า
และเงินที่พวกเขาหามาได้ บ้างก็เพื่อความสนุกสนานของตัวเอง บ้างก็เพื่อหาเลี้ยงปากท้องของครอบครัว
หากใช้เพียงแต่ความปลอดภัยในชีวิตของพวกเขามาข่มขู่ พวกเขาก็มักจะทุ่มสุดตัวเพื่อคว้าเงินบำนาญจำนวนมหาศาลมาให้กับครอบครัว
และหากเป็นเช่นนั้น มันกลับช่วยกระตุ้นจิตวิญญาณการต่อสู้ของพวกเขา
แม้ว่าคราวนี้ คนที่มานิวยอร์กล้วนเป็นยอดฝีมือท่ามกลางยอดฝีมือของสำนักว่านหลง และเป็นเรื่องง่ายดายอย่างยิ่งที่จะจัดการกับบอดี้การ์ดของตระกูลเฟ่ย แต่เย่เฉินก็ยังคงหวังที่จะเอาพวกเขาโดยวิธีที่ไม่ต้องต่อสู้
ดังนั้นเขาจึงขอให้ว่านพั่วจวินมีท่าทีเอาเรื่องอย่างหนัก ก็เพื่อให้บอดี้การ์ดเหล่านี้เข้าใจว่า ต่อให้พวกเขาจะตายเพื่อตระกูลเฟ่ย ในวันนี้ แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถให้ชีวิตที่ปลอดภัยไร้กังวลไปตลอดชีวิตกับสมาชิกในครอบครัวที่เหลือได้
ในทางกลับกัน สิ่งนี้ยังจะนำความตายมาสู่ครอบครัวของพวกเขา
ด้วยวิธีนี้ บอดี้การ์ดเหล่านี้ย่อมไม่มีความกล้าที่ไหนมาสู้ตาย
ยิ่งกว่านั้น อำนาจคุกคามของสำนักว่านหลงนั้นย่อมไม่จำเป็นต้องพูดถึงอีก อย่าว่าแต่บอดี้การ์ดพวกนี้ ต่อให้เป็นตระกูลเห่ย ก็ยังไม่เคยกล้าที่จะต่อต้านสำนักว่านหลง
ดังนั้น บอดี้การ์ดในเวลานี้จึงล้มเลิกความคิดเรื่องการต่อต้านไปแล้ว
ในเวลานี้ ว่านพั่วจวินค่อยๆ เข้ามาใกล้และยืนห่างจากประตูหน้าวิลล่าตระกูลเฟ่ยไปไม่ถึง 50 เมตร
เขามองขึ้นไปที่วิลล่าขนาดใหญ่อันงดงาม ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มที่เย็นชาบนปากของเขาและเอ่ยขึ้นว่า “บอดี้การ์ดทุกคนจงฟังให้ดี ฉันให้เวลาพวกนายหนึ่งนาที หลังจากนั้นหนึ่งนาที บอดี้การ์ดทั้งหมดที่ไม่ยอมแพ้จะถูกฆ่าทิ้งซะ!”
ขณะที่พูดไป เขามองดูนาฬิกาข้อมือของตนและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เริ่มจับเวลาแล้ว!”
เมื่อได้ยินแบบนี้ บอดี้การ์ดเหล่านั้นที่เสียสติไปตั้งนานแล้วก็แทบยกอาวุธขึ้นและวิ่งออกจากวิลล่าเพื่อมอบตัวกับทางสำนักว่านหลงอย่างไม่ต้องคิด
ส่วนบอดี้การ์ดบางคนที่มาถึงห้องผู้ป่วยแล้วก็รีบออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วและรีบลงไปข้างล่างเพื่อมอบตัวเช่นกัน
ท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีใครอยากเป็นศัตรูของสำนักว่านหลง
เมื่อตระกูลเฟ่ยเห็นว่าบอดี้การ์ดทั้งหมดหนีไปแล้ว ในใจของพวกเขาก็ยิ่งสิ้นหวังมากขึ้นไปอีก พวกเขาแต่ละคนล้วนมองไปที่ เฟ่ยซานไห่อย่างทำอะไรไม่ถูก และหวังว่าเขาซึ่งเป็นเจ้าบ้านจะสามารถหยุดความโกลาหลได้
แม้ว่าเฟ่ยซานไห่จะรู้สึกลนลานราวกับสุนัขในเวลานี้ แต่ในใจของเขาก็รู้ดีว่า ในเมื่อสำนักว่านหลงมาด้วยท่าทีดุดันแบบนี้ ต่อให้ตนเองคิดหนีก็คงหนีไม่รอด ดังนั้นเขาจึงแกล้งทำเป็นสงบและพูดว่า “พวกนายไม่ต้องตื่นตระหนกไปก่อน สถานการณ์แบบนี้ ตื่นตระหนกไปก็ไม่มีประโยชน์!”
เฟ่ยเสวปิงพูดด้วยใบหน้าเศร้าๆ “พ่อ ว่านพั่วจวินมาถึงชั้นล่างแล้ว พวกเราจะทำยังไงดี…หรือว่าพวกเราจะขึ้นไปชั้นบนแล้วขึ้นเฮลิคอปเตอร์ล่าถอยออกไปก่อน!”
“ล่าถอย?!” เฟ่ยซานไห่เลิกคิ้วและพูดอย่างโกรธเคืองว่า “ฉันเป็นเจ้าบ้านตระกูลเฟ่ย นายคิดจะให้ฉันล่าถอยไปไหน?! ถ้าฉันล่าถอยไป ก็เท่ากับส่งคืนตระกูลเฟ่ยให้ปู่ของแกไม่ใช่หรือไงกัน?!”
เฟ่ยเสวปิงโพล่งออกมา “พ่อ…สิ่งสำคัญตอนนี้คือการมีชีวิตรอดนี่!”
เฟ่ยซานไห่หน้าซีดขาวและไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรขึ้นมาชั่วขณะ
ในเวลานี้เอง ว่านพั่วจวินที่อยู่ชั้นล่างก็ตะโกนขึ้นมา “ใครเป็นผู้รับผิดชอบตระกูลเฟ่ย? ใครเป็นคนนั้นมาหาฉันที่ชั้นหนึ่ง!”
พูดจบ เขาก็ก้าวเข้าไปในวิลล่าตระกูลเฟ่ย แล้วนั่งลงบนโซฟาในห้องโถงที่ชั้นหนึ่ง
สมองของเฟ่ยซานไห่แล่นไปไม่หยุดและพูดว่า “ถ้าว่านพั่วจวินนั่นต้องการชีวิตของพวกเราจริง ๆ พวกเราก็อาจถูกเขาฆ่าอย่างเงียบ ๆ ไปนานแล้วตั้งแต่ตอนที่ไฟฟ้าดับเมื่อกี้ ในเมื่อเขามาถึงชั้นล่างอย่างเปิดเผยแบบนี้แถมยังขอให้ฉันลงไปเจอเขา แสดงว่าเขาคงอยากคุยเงื่อนไขกับเรา”
เฟ่ยซานไห่รู้ดีอย่างยิ่ง หากเป็นเรื่องดีก็รอดไป หากเป็นเรื่องร้ายก็หนีไม่รอด ตอนนี้นอกจากไปพบหน้าว่านพั่วจวินและพยายามตอบสนองเงื่อนไขของเขา ตนก็ไม่เหลือวิธีการแก้ปัญหาอื่นอยู่อีก
ดังนั้น ในใจของเขายอมแพ้แล้ว เขารู้สึกว่าอย่างมากก็แค่ใช้เงินเป็นจำนวนมากเพื่อซื้อความสงบสุข ขอแค่เขาจัดการว่านพั่วจวินได้ ตนเองก็ยังเป็นเจ้าบ้านตระกูลเฟ่ย!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็พูดกับลูกชายคนที่สองและคนที่สามของเขาว่า “พวกนายมาช่วยพยุงฉันให้ลุกขึ้น ฉันจะลงไปชั้นหนึ่งเจอกับว่านพั่วจวิน!”