ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 4213 ผู้หญิงขึ้นมานำตระกูล
เย่เฉินพยักหน้าเล็กน้อย เขามองไปที่เฟ่ยเข่อซินและกล่าวว่า “คุณหนูเฟ่ย คุณคิดว่ายังไง?”
เฟ่ยเข่อซินรู้สึกประหม่าเล็กน้อย
อันที่จริงเธอไม่เคยคิดว่าตนจะได้รับตำแหน่งผู้นำตระกูลเฟ่ยเลย
ท้ายที่สุดแล้ว นี่เป็นเพราะตระกูลเฟ่ยไม่เคยปล่อยให้ผู้หญิงขึ้นมานำตระกูล
ยิ่งไปกว่านั้น ความคิดก่อนหน้านี้ของเธอเองก็เรียบง่ายอย่างมาก ก็คือก่อนที่ปู่ของเธอจะเสียชีวิต เธอจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ของพ่อแม่และสมาชิกในตระกูลเธอให้มากที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ครอบครัวของเธอถูกเนรเทศและขับไล่ออกจากตระกูลเมื่อคุณปู่จากไป
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ แต่เดิมเธอต้องการมีที่ยืนในตระกูลเฟ่ยด้วยความพยายามของเธอเอง แต่เธอไม่เคยต้องการเป็นผู้นำของตระกูล
ดังนั้นเธอจึงลังเลเล็กน้อยและไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร
เย่เฉินรู้ว่าเฟ่ยเข่อซินแตกต่างจากซ่งหวั่นถิงและเฮเลน่า
ซ่งหวั่นถิงไม่มีพ่อแม่ เธอมีความสัมพันธ์ที่ล้ำลึกกับคุณท่านซ่ง ในเวลาเดียวกันเธอก็ไม่มีความทะเยอทะยานอะไร เธอเพียงแค่ต้องการดำเนินธุรกิจของจี๋ชิ่งถังให้ดีๆเท่านั้น ในอนาคตลุงและลูกพี่ลูกน้องของเธอจะเป็นคนรับช่วงต่อผู้นำตระกูล และไม่สนใจธุรกิจเล็กๆ ของเธออีกต่อไป หากเป็นแบบนี้ เธอเองก็จะสามารถมีชีวิตที่มั่นคงได้
เหตุผลที่สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนไปอย่างมากก็คือยาอายุวัฒนะของเย่เฉิน ที่สำหรับคุณท่านซ่งแล้วมันเย้ายวนใจเขามากเกินไป จนทให้ซ่งหรงวี่สองพ่อลูกมองซ่งหวั่นถิงเป็นหนามตำตา
อาจกล่าวได้ว่า เป็นเพราะการผลักดันของเย่เฉินไปตลอดทาง ที่ทำให้ซ่งหวั่นถิงก้าวไปจนถึงตำแหน่งผู้นำตระกูลซ่งได้
และสำหรับเฮเลน่า เธอมีความทะเยอทะยานมาโดยตลอด แต่เธอกลับไม่มีโอกาสทำมันสำเร็จมาเป็นเวลานานแล้ว จนถึงขนาดที่เธอถูกโอลิเวียน้องสาวของเธอกดขี่ถึงขีดสุด และเป็นเย่เฉินที่ให้โอกาสเธอได้พลิกฟื้นขึ้นมาจนเธอสามารถกลับขึ้นไปและพลิกสถานการณ์กลับมาได้อย่างราบรื่น
ส่วนเฟ่ยเข่อซิน ดูเหมือนว่าจะอยู่ระหว่างพวกเธอทั้งสองคน
เธอไม่เหมือนซ่งหวั่นถิงที่ไร้คสามทะเยอทะยาน และไม่เหมือนเฮเลน่าที่สะสมความทะเยอทะยานอันทรงพลังเพราะความเกลียดชังภายในใจ
เธอคล้ายจะอยู่ตรงกลางระหว่างคนทั้งสองเสียมากกว่า แม้ว่าเธอจะมีความทะเยอทะยาน แต่มันก็ยังไม่ใหญ่พอที่จะคิดควบคุมตระกูลเฟ่ยทั้งหมดเอาไว้ด้วยมือของเธอเอง
เมื่อเฟ่ยเจี้ยนจงเห็นว่าเฟ่ยเข่อซินลังเล ในใจของเขาก็อดกังวลไม่ได้เช่นกัน
ท้ายที่สุดเขามีประสบการณ์มามากมาย และมองออกถึงสถานการณ์ในปัจจุบันอย่างรวดเร็ว ในเมื่อเย่เฉินไม่ต้องการให้ตนเป็นผู้นำตระกูลเฟ่ย อย่างนั้นทางที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือการปล่อยให้เฟ่ยเข่อซินเป็นผู้สืบทอด
ไม่อย่างนั้น หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เขาเกรงว่าอีกฝ่ายจะต้องลงมือโจมตีเขาแน่
ดังนั้นเขาจึงรีบไปหาเฟ่ยเข่อซินและพูดว่า “เข่อซิน คุณเย่ถามเธออยู่นะ! รีบตอบเร็วเข้า!”
เฟ่ยเข่อซินได้สติกลับมาและพูดอย่างประหม่าว่า “คุณเย่…ฉัน…ฉันเกรงว่าตัวเองคงจะไม่มีคุณสมบัติพอกับบทบาทที่สำคัญขนาดนี้… ”
เย่เฉินชี้ไปที่เฟ่ยซานไห่และเอ่ยเสียงเรียบ “เขายังไม่คิดเลยว่าตนเองไร้ความสามารถ แล้วคุณยังต้องกังวลอะไรอีก?”
การแสดงออกของเฟ่ยซานไห่ในตอนนี้ขมขื่นอย่างมาก
เขาเองก็รู้ว่า ถึงแม้ว่าตนจะแก่กว่าเฟ่ยเข่อซินหลายสิบปี แต่ความสามารถในการจัดการเรื่องต่างๆของเขาไม่ดีเท่ากับเฟ่ยเข่อซินที่อายุยังน้อยจริงๆ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเย่เฉินหยิบมันขึ้นมาพูดตรงๆแบบนี้ ตนเองก็รู้สึกไม่รู้จะเอาหน้าไปฝังไว้ที่ไหนอยู่บ้าง
เมื่อเห็นว่าเฟ่ยเข่อซินยังคงไม่มั่นใจ เย่เฉินจึงกล่าวว่า “คุณหนูเฟย ในสถานการณ์ปัจจุบันของตระกูลเฟ่ย มีเพียงคุณในฐานะผู้นำตระกูลเท่านั้นที่จะสามารถประสานงานทุกอย่างภายในได้ คุณลองคิดถึงคุณท่านใหญ่ และนึกถึงพ่อแม่และญาติสนิทของคุณดู ถ้าคุณไม่นั่งในตำแหน่งผู้นำตระกูล แล้วคุณจะเอาอะไรมารับประกันความมั่นคงในชีวิตของพวกเขาในอนาคต?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เย่เฉินก็พูดอีกครั้ง “ถ้าผมจำไม่ผิด คืนนี้ท่ามกลางคนในตระกูลเฟ่ย น่าจะไม่มีพ่อแม่ของคุณ?”