ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 4238 ไม่เห็นตระกูลเย่อยู่ในสายตา
อานโฉงชิวรู้สึกไม่พอใจสำนักว่านหลงอยู่มาก
เหตุผลก็คือเนื่องจากว่าก่อนหน้านี้สำนักว่านหลงลงมือกับตระกูลเย่ อีกทั้งยังเคยปล่อยคำพูดที่ว่าจะทำลายเย่ฉางอิงพี่เขยของเขาอีกด้วย
อายโฉงชิวกับน้อยชายคนที่สองอานข่ายเฟิงนั้นไม่เหมือนกัน ในสายตาของอานข่ายเฟิงมีเพียงแค่พี่สาวอย่างอานเฉิงซีและเย่เฉินหลานชายเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆแม้แต่เย่ฉางอิง ก็ไม่อยู่ในสายตาเขาเลยทั้งนั้น
ที่สำคัญเป็นเพราะ อานข่ายเฟิงอายุยังน้อย ตอนนั้นที่พี่สาวอานเฉิงซีแต่งงานกับเย่ฉางอิง เขายังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย ได้มาสัมผัสกับเย่ฉางอิงน้อยมาก
แต่อานโฉงชิงนั้นไม่เหมือนกัน เขากับอานเฉิงซีพี่สาวห่างกันแค่สองปี ดังนั้นเขาเคยได้มาสัมผัสกับเย่ฉางอิงอยู่ไม่น้อย ในใจลึกๆของเขานั้นก็ยอมรับเย่ฉางอิงพี่เขยคนนี้อยู่แล้ว
และเป็นเพราะแบบนี้ ตอนที่เขาได้ยินว่าสำนักว่านหลงนำเอาโลงศพไปให้ตระกูลเย่ และเคยพูดถึงเรื่องนี้กับอานข่ายเฟิงแล้ว หวังว่าอานข่ายเฟิงจะสามารถเป็นตัวแทนของตระกูลอานไปกดดันสำนักว่านหลง ให้พวกเขาไม่ไปกลั่นแกล้งตระกูลเย่
แต่อานข่ายเฟิงกลับไม่ได้รับปาก
สาเหตุที่เขาไม่รับปากนั้นธรรมดามาก นั่นก็เป็นเพราะในใจของเขานั้นไม่ได้มองเห็นตระกูลเย่อยู่ในสายตาเลย
แรกเริ่มก่อนหน้านี้ เย่โจงฉวนคุณท่านตระกูลเย่มีครั้งหนึ่งที่เป็นฝ่ายเข้ามาหาอานข่ายเฟิงเพื่อมาตีสนิทที่สมาคมการค้าชั้นนำ แต่ตอนนั้นอานข่ายเฟิงเคยพูดกับเขาแล้ว ว่าตระกูลเย่เขายอมรับเพียงแค่เย่เฉินคนเดียวเท่านั้น คนอื่นๆ ใครก็ไม่ได้ทั้งนั้น
ในเมื่อยังหาตัวเย่เฉินไม่เจอ เขาก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องช่วยเหลือตระกูลเย่อยู่แล้ว
แต่ต่อมาเรื่องนี้ก็ทำให้อานข่ายเฟิงมานึกกลัวขึ้นภายหลังเช่นกัน
เนื่องจากว่าเขาคิดไม่ถึงว่าว่านพั่วจวินจะขึ้นภูเขาเย่หลิงซานไปทำลายพี่สาวของเขาและพี่เขยเป็นซากศพแบบนี้!
โชคดีที่ต่อมาตระกูลเย่เป็นฝ่ายเอาทรัพย์สินของกตระกูลออกมาครึ่งหนึ่งเพื่อไกล่เกลี่ยยุติความขัดแย้ง มิเช่นนั้นแล้วหากซากศพของพี่สาวได้รับความเสียหายขึ้นมา อานข่ายเฟิงจะไม่มีทางให้อภัยตัวเองไปตลอดชีวิตด้วยเช่นกัน
และเป็นเพราะครั้งนั้น ในใจของอานข่ายเฟิงความรู้สึกที่มีต่อตระกูลเย่จึงผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย อีกทั้งมีการแสดงทีท่าออกมากับอานโฉงชิวด้วยเช่นกัน หากในอนาคตมีโอกาสที่เหมาะสม จะต้องให้ความช่วยเหลือกับตระกูลเย่อย่างแน่นอน
และตอนนี้ อานโฉงชิวพอได้ยินว่าสำนักว่านหลงมาอีกแล้วนั้น ในใจก็อดที่จะรู้สึกรังเกียจขึ้นมาอีกไม่ได้
ดังนั้นเขาจึงเอ่ยขึ้นกับหลี่ญ่าหลิน : “ถ้าหากเป็นสำนักว่านหลงที่กำลังทำให้เกิดความเสียหายอยู่เบื้องหลังจริงๆ พวกนายพูดอะไรก็อย่าให้พวกเขาทำแผนชั่วให้สำเร็จไปได้ง่ายๆนะ ถ้าหากทางตำรวจนครนิวยอร์กจัดการกับพวกเขาไม่ได้ ก็รีบไปหาCIA ไปหาสภาความมั่นคงแห่งชาติ ถ้าหากสามารถผ่านหน่วยงานสภาพความมั่นคงแห่งชาติได้ ทำให้สำนักว่านหลงได้รับความสูญเสียครั้งใหญ่ได้ก็จะดีมาก!”
หลี่ญ่าหลินพูดขึ้นอย่างจริงจัง : “ฉันก็วางแผนไว้แบบนี้เหมือนกัน แต่ตอนนี้ยังไม่มีโอกาสดีๆ ถึงอย่างไรตอนนี้ฉันรู้แล้ว สมาชิกของสำนักว่านหลงที่ถึงนครนิวยอร์กแล้ว ก็มีเพียงซูรั่วหลีเพียงคนเดียว ความรุนแรงของข้อมูลและหลักฐานที่ยึดกุมอยู่นั้นยังไม่เพียงพอ”
พูดมาถึงตรงนี้แล้ว หลี่ญ่าหลินก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง : “แล้วอีกอย่างมีเรื่องนึงที่จนถึงตอนนี้แล้วฉันก็ยังไม่เข้าใจ”
อานโฉงชิวเอ่ยถาม : “เรื่องอะไร?”
หลี่ญ่าหลิน : “ที่นายพูดมาเมื่อกี้ สำนักว่านหลงช่วยคุณท่านเฟ่ยช่วงชิงอำนาจ แล้วแสวงหาผลโยชน์มาด้วยก็ยังว่าไปอย่าง แต่พวกเขาไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องลักพาตัวเฟ่ยฮ่าวหยางนี่ นอกเสียจากคนที่ลักพาตัวเฟ่ยฮ่าวหยางไปเป็นคนอื่น”
อานโฉงชิวถอดถอนใจออกมาพลางเอ่ยขึ้น : “เป็นอีกหนึ่งปัญหาจริงๆ รู้สึกเหมือนกับการแก้สมการที่ซับซ้อนอยู่เลย ไม่ว่าจะเข้าไปทางไหนก็ไม่ถูกทั้งนั้น เหมือนกับขาดเงื่อนไขที่สำคัญอะไรไปเลย”
หลี่ญ่าหลินนึกอะไรขึ้นมาได้ รีบเอ่ยถามขึ้นมา : “อ่อ ใช่สิ นายยังจำที่ฉันเคยบอกกับนายได้ไหม นักแสดงที่ชื่อกู้ชิวอี๋คนนั้น?”
“จำได้” อานโฉงชิวถามขึ้น : “ทำไม? เรื่องนี้เกี่ยวกับเธออย่างนั้นเหรอ?”
หลี่ญ่าหลินใช้ปลายลิ้นแตะที่เพดาน แล้วเอ่ยขึ้นมาอย่างจริงจัง : “ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าเกี่ยวกับเธอ แต่ฉันรู้สึกว่ามี่ส่วนเกี่ยวข้องกัน”