ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 4386 การซื้อขายโดยไร้ต้นทุน
ว่านพั่วจวินรีบพูด “ผมกำลังจะมารายงานเรื่องนี้กับคุณพอดี ผมได้จัดการหาข้อมูลของหลิวเจียฮุยแล้ว และยังรวมไปถึงสถานการณ์ของกองกำลังหลักหลายแห่งบนเกาะฮ่องกาง ตอนนี้กองกำลังหลักเหล่านี้บนเกาะฮ่องกางต่างก็กำลังเตรียมพุ่งเข้าแลกหมัดใส่กันอยู่ และคิดจะลงมือกับเฉินจ้างโจงเพื่อชิงเงินค่าหัวมูลค่า 30 ล้านเหรียญของหลิวเจียฮุย แต่ตำรวจเกาะฮ่องกางเองก็ได้รับข่าวเช่นกัน ดังนั้นสองวันนี้พวกเขาต่างก็เตรียมพร้อมอย่างเคร่งครัดกับทางศุลกากร เพื่อให้แน่ใจว่าเมื่อเฉินจ้างโจงมาถึงฮ่องกางและถูกส่งมอบให้กับพวกเขาจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น ดังนั้นหากนักฆ่าเหล่านี้ที่ต้องการเงินค่าหัวก็ล้วนคิดรอลงมือในทันทีที่เฉินจ้างโจงได้รับการปล่อยตัว ”
เย่เฉินถามด้วยความสงสัย “กระบวนการหลังจากที่ลุงโจงถูกส่งกลับมาเป็นยังไง นายเข้าใจอย่างชัดเจนรึเปล่า?”
“เข้าใจชัดเจน” ว่านพั่วจวินเอ่ย “เนื่องจากขั้นตอนการออกนอกประเทศของเขานั้นเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีก็แค่เพราะวีซ่าของเขาหมดอายุและพำนักอยู่ในสหรัฐอเมริกาอย่างผิดกฎหมายซึ่งละเมิดกฎหมายของสหรัฐอเมริกา ดังนั้นเขาจะไม่ถูกตัดสินลงโทษหลังจากกลับมา ทางตำรวจและศุลกากรฮ่องกางก็จะให้เขาเข้าประเทศตามขั้นตอนปกติ นอกจากนี้เขายังออกจากเกาะฮ่องกางมานานเกินไป จึงอาจต้องออกบัตรประจำตัวใหม่ให้กับเขาด้วย จากนั้นก็แจ้งให้ครอบครัวของเขาไปพบและพาเขากลับบ้าน คาดการณ์ว่ากระบวนการทั้งหมดจะไม่เกิน 48 ชั่วโมง ”
“ดี” เย่เฉินเอ่ยเสียงเรียบ “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เวลาก็ไม่รีบเร่งมากเท่าไหร่ สามารถเล่นกับคนแซ่หลิวช้าๆ ได้”
ว่านพั่วจวินเอ่ย “ได้ครับคุณเย่ ผมรอฟังคำสั่งอยู่เสมอ รอคุณเอ่ยปาก”
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
เครื่องบินของเย่เฉินลงจอดที่สนามบินนานาชาติเกาะฮ่องกาง
ในเวลานี้ ที่ทางออกสนามบิน
หลิวเจียฮุยมหาเศรษฐีชาวฮ่องกางผู้มีชื่อเสียง กำลังถือป้ายข้อความว่า “เย่เฉิน” ด้วยตนเอง และมีฟางเจียซินผู้เป็นภรรยาอยู่ด้วย กำลังยืนตั้งหน้าตั้งตารออยู่ที่ทางออก
ฟางเจียซินสวมแว่นกันแดดหนาและหน้ากาก ท่าทีของเธอดูค่อนข้างไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง
เธอไม่ค่อยรู้เรื่องธุรกิจมากนัก แต่แค่รู้สึกว่า ตนในฐานะคุณนายหลิว สตรีผู้มีชื่อเสียงบนเกาะฮ่องกาง การมารับคนด้วยตนเองที่สนามบินแบบนี้ ทำให้เธอรู้สึกเสียหน้าอยู่บ้าง
ส่วนหลิวเจียฮุยไม่สนใจเรื่องนี้
เขารู้ดีอยู่ในใจว่า ทำธุรกิจ ไม่มีทางไม่พอใจกับเงิน
เสียสละหน้าตาไปสักหน่อย ความร่วมมือนี้ก็จะสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น แบบนี้ก็ถือเป็นการค้าขายที่ไม่มีต้นทุนไม่ใช่หรือไงกัน?
ในเวลานี้ เย่เฉินสะพายเป้และเดินออกมาจากทางออก
เขามองไปรอบๆ และเห็นชายอ้วนถือป้ายชื่อของเขาอยู่
ดังนั้น มุมปากของเขาจึงยกยิ้มเล็กน้อยอย่างนึกสนุกและก้าวเข้าไป
เย่เฉินมาตรงหน้าหลิวเจียฮุยและถามด้วยรอยยิ้มว่า “คุณคือประธานหลิวใช่ไหม?”
หลิวเจียฮุยมองไปที่เย่เฉินและถามด้วยใบหน้ายินดี “คุณสมควรจะเป็นคุณเย่ เย่เฉินสินะ!”
เย่เฉินพยักหน้า “ใช่ ฉันเอง”
หลิวเจียฮุยยื่นป้ายให้ผู้คุ้มกันข้างๆ เขาทันที จากนั้นก็ยื่นมือออกไปจับมือกับเย่เฉินและพูดอย่างตื่นเต้น “ไอ้หย่าคุณเย่ ได้ยินชื่อเสียงมาตั้งนานแล้ว! ยินดีต้อนรับสู่เกาะฮ่องกาง ผมหลิวเจียฮุย ประธานของหลิวซื่อกรุ๊ป ยินดีที่ได้รู้จัก!”
เย่เฉินยิ้มและยื่นมือข้างหนึ่งออกไปจับมือกับหลิวเจียฮุย และพูดอย่างสบายๆว่า “คุณหลิวใช่ไหม ยินดีที่ได้รู้จัก”
ขณะที่เย่เฉินจับมือกับหลิวเจียฮุยด้วยมือเดียว ฟางเจียซินที่อยู่ข้างๆรวมทั้งผู้ช่วยและผู้คุ้มกันของหลิวเจียฮุยก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
พวกเขาไม่คาดคิดจริงๆ ว่าชายหนุ่มคนนี้รู้ว่า ทั้งๆที่รู้ว่าหลิวเจียฮุยเป็นฝ่ายยื่นมือสองข้างออกมาจับมือกับเขา แต่เขาก็ยังคงตอบกลับด้วยมือข้างเดียว นี่ค่อนข้างไร้มารยาทจริงๆ
เย่เฉินเองก็รู้ด้วยว่าที่ตนทำแบบนี้ออกจะเสียมารยาทอยู่บ้าง แต่เขารู้สึกว่า มารยาทก็ต้องดูตามคนด้วย คนอย่างหลิวเจียฮุย ไม่ควรค่าให้เขาไว้หน้า