ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 4392 ฉันขอตัวก่อนดีไหม?
ในตอนนั้น แม่ของเธอยังตั้งท้องน้องสาวของตนอยู่ และเป็นเพราะเธอกำลังตั้งท้องน้องสาวของเธอ ดังนั้นจึงเพิกเฉยต่อการตรวจร่างกายตามปกติ และไม่สามารถตรวจพบโรคมะเร็งขั้นต้นและยับยั้งอย่างทันเวลาได้
หลังจากตั้งท้องมาสิบเดือน หลังจากให้กำเนิดน้องสาวของเธอ อีกทั้งยังให้กินนมแม่ด้วยตนเองเป็นเวลาครึ่งปี ในช่วงเวลานั้น แม่ของเธอที่จต้องการรักษาคุณภาพของน้ำนมแม่ แม้แต่เป็นหวัดก็ยังไม่ยอมกินยาเลยสักเม็ด ดังนั้นอาการของเธอจึงถูกถ่วงเวลาออกไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งแม่ของเธอรู้สึกไม่สบายและไปโรงพยาบาล แพทย์บอกเธอว่าเธออยู่ในระยะที่เป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย
แพทย์ยังบอกอีกด้วยว่าสาเหตุที่โรคพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วนั้นมีความสัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้าของเธอ
ด้วยเหตุนี้ หลิวม่านฉงจึงไม่สามารถให้อภัยหลิวเจียฮุยพ่อของเธอได้ และนับประสาอะไรกับฟางเจียซินที่อยู่ต่อหน้าเธอ
ฟางเจียซินรู้ตัวเองดี ดังนั้นเธอจึงไม่กล้าเผชิญหน้ากับ หลิวม่านฉงมาโดยตลอด หลังจากให้กำเนิดบุตรชาย เธอก็อาศัยบารมีลูกชาย และพยายามใช้ประโยชน์จากตำแหน่งของเธอต่อหน้าหลิวเจียฮุยเพื่อหาทางให้ หลิวม่านฉงออกจากบ้านนี้ไป
อย่างไรก็ตาม หลังจากพยายามหลายครั้ง เธอก็พบว่าแม้ต่อหน้าหลิวเจียฮุยจะไม่เคยยอมรับความผิดพลาดของตนเองกับ หลิวม่านฉงในตอนนั้นมาก่อน แต่ในใจเขาก็รู้สึกเป็นติดค้างลูกสาวของเขาอย่างมาก ดังนั้นหลิวเจียฮุยจึงอดทนต่อ หลิวม่านฉงในทุกๆด้าน
และเป็นเพราะเหตุนี้เองฟางเจียซินจึงแทบไม่สามารถหาโอกาสเหมาะสมที่จะขับไล่ หลิวม่านฉงไปให้พ้นจากสายตาของเธอได้
ผลก็คือ คนทั้งสามที่มีความคิดต่างกันต่างต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่แปลกประหลาด
ในเวลานี้เย่เฉินเป็นฝ่ายทำลายสถานการณ์ และเอ่ยปากกับหลิวเจียฮุยว่า “คุณหลิว เรื่องภายในครอบครัวของคุณ ฉันที่เป็นคนนอกคงจะไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้ ไม่งั้น ผมไปก่อนดีไหม พวกเราค่อยคุยกันเมื่อมีเวลา?”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลิวเจียฮุยก็รีบเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็ว เขายิ้มและพูดว่า “ไอ้หย่าคุณเย่ ขออภัยด้วยจริงๆ เป็นผมที่เลี้ยงดูลูกไม่ดี ทำให้คุณต้องขบขันแล้ว!”
พูดจบ เขาก็พูดกับหลิวม่านฉงว่า “วันนี้คุณเย่อยู่ที่นี่ด้วย พวกเราจะให้คุณเย่ต้องเห็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะไม่ได้ ฉันไม่เคยมีข้อร้องขออะไรอื่นกับแก ตอนเที่ยงแค่นั่งกินข้าวดีๆ จากนั้นตอนบ่ายแกก็พาคุณเย่ไปเดินเล่นซะ พรุ่งนี้เป็นต้นไป ฉันจะไม่ใช้เวลาของแกอีก เป็นไง?”
หลิวม่านฉงถามทันทีว่า “แล้วการบริจาคเงิน 50 ล้านที่พ่อสัญญากับหนูล่ะ?”
หลิวเจียฮุยโบกมือและพูดอย่างภาคภูมิใจ “ขอแค่แกช่วยฉันดูแลคุณเย่ให้ดี ฉันจะจ่ายเงินบริจาคนั่นในวันพรุ่งนี้!”
“ตกลง” หลิวม่านฉงรับปากโดยไม่ลังเลและพูดว่า “หนูรับปาก!”
เมื่อเย่เฉินได้ยินแบบนั้นเขาก็ยิ้มน้อยๆว่า “ในเมื่อพวกคุณทั้งสองตกลงกันแล้ว อย่างั้นพวกเราก็นั่งลงและพูดคุยกันไปขณะรับประทานอาหารเถอะ”
หลิวเจียฮุยกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่ใช่ใช่ กินไปพูดคุยไป กินไปคุยไป!”
เมื่อทั้งสี่คนนั่งลงที่โต๊ะ คนใช้ก็นำอาหารหลากหลายขึ้นโต๊ะในทันที
อาหารเหล่านี้เกือบทั้งหมดเป็นอาหารกวางตุ้งแบบคลาสสิก และแต่ละจานก็ประณีตมาก
หลิวเจียฮุยด้านนึงเรียกให้เย่เฉินทาน อีกด้านก็แนะนำอาหารที่หายากเหล่านี้ให้กับเย่เฉิน “คุณเย่ อาหารกวางตุ้งของเรามีชื่อเสียงไปทั่วโลกในด้านส่วนผสมอันล้ำค่า และวัตถุดิบของครอบครัวเราก็ถือเป็นของล้ำค่าที่สุด! คุณดูหูฉลาม หอยเป๋าฮื้อ กระเพาะปลารังนก กุ้งมังกร แต่ละอันล้วนล้ำค่าที่สุด! และพ่อครัวของตระกูลเรา ก็คือปรมาจารย์ด้านอาหารกวางตุ้ง บนโต๊ะนี้มีอาหารมากมาย ไม่ว่าจะเป็นจานไหนก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นจุดสูงสุดของอาหารกวางตุ้ง!”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลิวเจียฮุยก็รีบเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็ว เขายิ้มและพูดว่า “ไอ้หย่าคุณเย่ ขออภัยด้วยจริงๆ เป็นผมที่เลี้ยงดูลูกไม่ดี ทำให้คุณต้องขบขันแล้ว!”
เย่เฉินพยักหน้าเล็กน้อย เขาไม่ได้ขยับตะเกียบ แต่มองไปที่หลิวเจียฮุยและถามอย่างจริงจังว่า “อ้อ ใช่สิคุณหลิว ฉันได้ยินมาว่าในอาหารกวางตุ้ง ห่านย่างถึงจะเป็นอาหารสุดคลาสสิก ไม่ทราบว่าห้องครัวของคุณหลิวได้เตรียมเอาไว้รึเปล่า?”