ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 4400 ฝีไม้ลายมือของผู้เชี่ยวชาญ
คุณชายจงโบกมือและพูดว่า “ไม่เป็นไร แม้ว่าจะเป็นนาฬิกาที่มีมูลค่ามากกว่าสี่ล้าน แต่ก็มีราคากลางอยู่ที่ 3 ล้าน ราคานี้คุ้มค่า ฉันเชื่อว่ามันจะต้องขายหมดอย่างรวดเร็วแน่”
พูดไป เขาก็จงใจขยิบตาให้ หลิวม่านฉงและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันเองก็มาเพื่อให้กำลังใจคุณ งานการค้าเพื่อการกุศลที่จัดโดย หลิวม่านฉงผู้มีชื่อเสียง หากไม่มีของแพงๆพวกนี้สักหน่อย ก็คงจะพูดไม่เต็มปากอยู่บ้าง คุณว่าไหม”
หลิวม่านฉงส่ายหัวและเอ่ยเรียบๆ “ขอบคุณสำหรับความหวังดีของคุณ แต่เหตุผลที่ฉันจัดการค้าเพื่อการกุศลนี้ก็เพราะหวังว่าจะทำให้งานการกุศลเข้าถึงได้มากขึ้นหน่อย ให้เกณฑ์งานการกุศลลดระดับลงมา และให้ผู้คนได้มีส่วนร่วมมากขึ้น ของมีค่าที่คุณเอ่ยถึงพวกนี้พอมันมาถึงก็จะทำลายความกระตือรือร้นของคนธรรมดาที่จะเข้าร่วมในงานการกุศล ดังนั้นเรื่องจึงไม่จำเป็น”
คุณชายจงรีบพูดว่า “ม่านฉง ถ้าคุณคิดว่าไม่เหมาะสม อย่างนั้นฉันบริจาคเงินก็ได้ ประมาณ 10 ล้านดอลลาร์ฮ่องกางเป็นยังไง?”
หลิวม่านฉงเอ่ยปาก “บริจาคเงินไม่มีปัญหา มูลนิธิการกุศลของเราได้เปิดบัญชีสาธารณะเอาไว้ คุณสามารถโอนเงินเข้าบัญชีได้โดยตรง ในขณะเดียวกันคุณก็ยังใส่ได้ว่าคุณต้องการบริจาคโดยไม่ระบุชื่อหรือใช้ชื่อจริง หากเป็นไม่ระบุชื่อ เราจะว่าเขียนพลเมืองดี ถ้าเป็นการบริจาคในชื่อจริง เราจะเขียนชื่อคุณเอาไว้”
พูดไป หลิวม่านฉงก็กล่าวเสริมว่า “แต่ว่า คุณชายจง ในเมื่อไม่ชอบทำตัวออกนอกหน้าและจงใจมากเกินไป ฉันคิดว่าคุณควรเลือกบริจาคโดยไม่เปิดเผยตัวตนจะดีกว่า”
สีหน้าของคุณชายจง เปลี่ยนเป็นปั้นยากอยู่บ้างทันที
เดิมทีเขาต้องการอาศัยช่างที่ หลิวม่านฉงยังไม่มา รีบแสดงท่าทีของตนก่อนสักหน่อย
ทันทีที่นาฬิกาล้ำค่าหลายเรือนถูกนำออกมา คาดว่าอาสาสมัครที่นี่จะต้องเกิดความโกลาหลแน่ และในขณะที่กำลังชื่นชมในตัวเอง พวกเขาก็จะต้องติดต่อ หลิวม่านฉงในทันทีอย่างแน่นอน พอถึงเวลานั้นเขาก็แสร้งทำเป็นถูกบังคับให้เผยความเก่งกาจต่อหน้าหลิวม่านฉง
เมื่อกี้จู่ๆ ก็ดันได้พบกับหลิวม่านฉงเขายังคิดว่านี่เป็นความช่วยเหลือจากพระเจ้าจริงๆ แบบนี้ก็จะสามารถแสดงความเก่งกาจออกมาได้โดยไม่ต้องพูดมาก แต่ไม่คาดคิดว่า หลิวม่านฉงจะไม่รับน้ำใจเลยสักนิด
แถมยังใช้คำพูดไม่กี่คำมาขุดหลุมให้ตนอีกด้วย
ตอนนี้ตนขึ้นหลังเสือไปแล้ว หากไม่อยากเสียหน้า ก็ทำได้แค่จ่ายเงินบริจาค 10 ล้านเหรียญฮ่องกางไปเท่านั้น อีกทั้งยังต้องเป็นการบริจาคแบบไม่เปิดเผยตัวตนอย่างที่ หลิวม่านฉงบอกอีกด้วย
หลิวม่านฉงเห็นเขามีสีหน้าอึดอัด ก็พูดกับเขาด้วยสีหน้าเรียบๆว่า “หาก คุณชายจง คิดจะกลับคำพูดก็ไม่ต้องกังวล แค่คิดว่าฉันไม่เคยพูดมาก่อนก็พอ”
เมื่อได้ยินแบบนั้น คุณชายจงก็โพล่งออกมาโดยไม่ต้องคิดว่า “ไม่! ไม่อย่างแน่นอน! ผมคุณชายจงจะกลับคำได้ยังไงกัน? ก็แค่ 10 ล้านเหรียญฮ่องกางไม่ใช่หรือไง? ผมจะโอนให้ทันที!”
พูดจบ มือถือก็ถูกหยิบขึ้นมา
หลิวม่านฉงพยักหน้า “อย่างนั้นคุณก็ค่อยๆโอนเถอะ ฉันยังมีอย่างอื่นที่ต้องทำ ขอตัวก่อน”
พูดไป เมื่อเธอเห็นเย่เฉินยังคงไม่ยอมปรากฏตัว เธอก็หันกลับมามองที่ท้ายรถ “คุณเย่?”
ในเวลานี้เย่เฉินเอนหัวออกมา ก่อนจะหัวเราะและพูดติดตลกว่า “ไอ้หย่า ฉันไปขัดจังหวะพวกคุณสองคนรึเปล่า? ไม่งั้นพวกคุณคุยกันต่อเลย ถือเสียว่าฉันไม่มีตัวตน ฉันไม่รีบร้อน” ”
หลิวม่านฉงรู้ว่าเย่เฉินกำลังล้อเลียนตัวเอง ดังนั้นเธอจึงพูดพร้อมกับบ่นว่า “เย่เฉิน ยังไงคุณก็เป็นถึงคู่หมั้นที่พ่อของฉันหมายหมั้นปั้นมือเอาไว้ มาหลบอยู่หลังรถในเวลาแบบนี้หมายความว่ายังไงกัน? คุณยังเป็นผู้ชายรึเปล่า?”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เย่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะยกยิ้ม
เขาชื่นชมใน หลิวม่านฉงอยู่บ้าง
ประการแรก เขาชื่นชมผู้หญิงคนนี้ที่สมองว่องไวอย่างมาก
ประการที่สอง เขาชื่นชมผู้หญิงคนนี้ที่เป็นประเภทมีแค้นต้องชำระและจัดการเอาคืนในทันที
ตนก็แค่แกล้งแหย่เธอไปประโยคหนึ่งเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าแค่พริบตาเธอก็เอาตัวเองมาเป็นเกราะกำบัง อีกทั้งยังทำเขาเสียเปรียบไปรอบหนึ่ง แบบนี้ถือว่ามีของอยู่บ้างจริงๆ
อย่างไรก็ตาม หลิวม่านฉงประเมินเย่เฉินต่ำเกินไป
เธอเป็นพวกมีแค้นต้องชำระ ส่วนเย่เฉินเองก็เป็นเหมือนกัน