ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 4412 ไม่มีอะไรห้ามผมได้หรอก!
หลิวม่านฉงตกใจเย่เฉินจนพูดอะไรไม่ออก ผ่านไปนานจึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาว่า “เย่เฉิน….ปกติคุณขี้โอ่แบบนี้ไหม?”
เย่เฉินหันมามองหลิวม่านฉง หัวเราะออกมาแล้วพูดว่า “ปกติผมไม่ได้ขี้โอ่หรอก ปณิธานของผมก็คือ ใครไม่หาเรื่องผม ผมก็จะไม่หาเรื่องคนนั้น และจะไม่ใช้กำลังและอำนาจข่มขู่คนที่อ่อนแอกว่าอย่างไม่มีเหตุผลแน่นอน”
เย่เฉินพูดไปพลางชี้ไปที่จงจื่อทาว จากนั้นก็เอ่ยพูดเสียงเย็น “แต่ถ้ามีคนมาหาเรื่องผม ผมก็ต้องเอาเรื่องเป็นธรรมดา!แล้วก็จะเอาคืนเป็นสิบเท่า ร้อยเท่า พันเท่า!ไม่ออมมือให้เด็ดขาด!”
หลิวม่านฉงโพล่งออกไปว่า “แต่ที่นี่คือเกาะฮ่องกาง ไม่ใช่ถิ่นของคุณนะ!ไม่เคยได้ยินคำว่ามังกรก็สู้งูเจ้าถิ่นไม่ได้หรือไง?”
เย่เฉินยิ้มเหยียดออกมา เอ่ยพูดอย่างจริงจังว่า “คุณหลิว ผมจะบอกคุณตรงๆก็แล้วกัน ต่อให้อยู่ที่นี่ ก็ไม่มีอะไรห้ามผมได้หรอก!”
สำหรับเย่เฉินแล้ว การมาเกาะฮ่องกางในครั้งนี้ ไม่มีสิ่งไหนห้ามเขาได้ทั้งนั้น
เขามาที่เกาะฮ่องกางคนเดียว ไม่ได้พาคนใกล้ชิดหรือเพื่อนมาด้วย มีแค่ว่านพั่วจวินและคนอื่นๆในสำนักว่านหลงที่อยู่ที่นี่ และพวกเขาจะไม่เป็นตัวถ่วงของเย่เฉินแน่นอน
ดังนั้น เขาจึงไม่มีอะไรให้ต้องพะวงหน้าพะวงหลัง
มากไปกว่านั้น พอได้ยินว่ามีคนต้องการชีวิตของลุงโจง เขาก็ต้องมาดูสักหน่อย ว่าใครมันกล้าถึงขนาดนี้กัน
ไม่เพียงเท่านี้ เขายังอยากให้คนเหล่านั้นรู้ว่า ชีวิตของลุงโจง ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะได้ไปง่ายๆ!
อีกอย่าง ต่อให้พวกเขาทำไม่ได้มีความสามารถถึงขนาดที่จะทำสำเร็จ พวกเขาก็ต้องชดใช้กับสิ่งที่พวกเขาคิดจะแตะต้อง
เพราะฉะนั้น เขาถึงได้บอกไงว่าครั้งนี้เขามาเพื่อเป็นเจ้าภาพงานสำคัญอย่างที่บอกหลิวม่านฉงไปก่อนหน้านี้
ในเมื่อเป็นถึงเจ้าภาพ ก็ควรที่จะไม่มีข้อห้ามใดๆมากำหนดเขาสิ ไม่ว่าใครก็ห้ามเขาไม่ได้ทั้งนั้น!
เมื่อเห็นทัศนคติของเย่เฉิน หลิวม่านฉงก็พูดอะไรไม่ออก
แม้ว่าเธอพอจะดูออกว่า เย่เฉินเก่งกาจและมีอำนาจมากพอที่จะออกคำสั่งกับคนอื่นได้ แต่เธอก็รู้ดีว่า สำนักฮงเหมินก็ไม่ใช่ขี้ไก่ขี้กา ลูกศิษย์ในสำนักของพวกเขามีเป็นพันเป็นหมื่น กระจายอยู่ทั่วทุกซอกทุกมุมของเกาะฮ่องกาง มีอำนาจและอิทธิพลฝังลึกแน่น ต่อให้เย่เฉินจะเก่งกาจและมีอำนาจแค่ไหน ก็คงไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้หรอก
ดังนั้น ในความคิดของเธอ การที่เย่เฉินทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังแบบนี้ ก็แทบไม่ต้องคิดเลยว่าต่อไปจะรับมือยังไง
ด้านเย่เฉินในขณะนี้ กลับไม่กังวลถึงผลที่จะตามมาเลยสักนิด เขามองไปยังอันธพาลยอดฝีมืออย่างไก่ที่ถูกเขาซัดร่วงก่อนเป็นคนแรก แล้วเอ่ยพูดอย่างเย็นชาว่า “นาย!มานี่!”
ไก่กุมแขนที่หัก มองมาที่เย่เฉินด้วยใบหน้าหวาดกลัว เอ่ยถามอึกๆอักๆว่า “คุณ….คุณมีอะไรจะสั่งเหรอครับ…..”
เย่เฉินเอ่ยเสียงเย็นว่า “เอาโทรศัพท์ของทุกคนมาให้ฉัน ถ้าใครกล้าซ่อนโทรศัพท์ไว้ล่ะก็ ฉันตัดไอ้จ้อนมันทิ้งแน่!”
“รับ….รับทราบ…..” ไก่ไม่กล้าชักช้า ใช้แขนซ้ายที่ยังปกติดีทุกอย่าง ล้วงโทรศัพท์ของลูกน้องตัวเองออกมา
เย่เฉินหยิบกองโทรศัพท์ตรงหน้าขึ้นมา แล้วปาทิ้งลงเหว ชั่ววินาทีนั้นโทรศัพท์หลายสิบเครื่องก็ถูกโยนทิ้งเป็นพาราโบลา
ต่อมา เย่เฉินก็พูดกับไก่ว่า “นายเป็นถึงลูกพี่ แต่กลับเจ็บน้อยที่สุดในบรรดาลูกสมุน มันไม่ดูขัดๆหน่อยเหรอ?”
สติของไก่พลันแตกกระเจิง หลุดปากออกไปว่า “ลูกพี่….นี่ผมก็เจ็บหนักสุดๆแล้ว….แขนขวาผมพิการไปแล้วด้วยซ้ำ….”
เย่เฉินชี้ไปยังคนอื่นๆที่นอนอยู่บนพื้น เอ่ยพูดอย่างมีนัยแฝงว่า“นายดูพวกเขาสิ กระดูกหนักน้อยกว่านายตรงไหน? นายเป็นลูกพี่ พาลูกน้องออกมาก่อเรื่อง ก็ต้องให้ความสำคัญกับธรรมเนียมของกลุ่มแก๊งหน่อยสิ ถ้าให้ลูกน้องเจ็บหนักกว่านาย หลังจากนี้นายจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? คนอื่นจะนินทานายลับหลังเอาได้นะ!”
ขณะที่พูด เย่เฉินก็ลูบคางแล้วเอ่ยพูดอย่างจริงจัง “ฉันว่านะ ยังไงนายก็ต้องขาหักถึงจะเข้าท่า”