ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 4415 เจ้าของมือทองนี่นา!
เมื่อเห็นสีหน้าอ้างว้างของหลิวม่านฉง จู่ๆเย่เฉินก็รู้สึกเห็นใจคุณหนูตระกูลแนวหน้าในเกาะฮ่องกางคนนี้
แม้ว่าหลิวเจียฮุยจะรวย แต่หลิวม่านฉง ก็ยังไม่สามารถมีวัยเด็กที่สมบูรณ์ได้
การทรยศของพ่อเธอและการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของแม่เธอได้ทำลายวัยเด็กของเธออย่างสมบูรณ์แบบ
ซึ่งจุดนี้ เย่เฉินเองก็เคยผ่านอะไรคล้ายๆหลิวม่านฉงมาเหมือนกัน
แม้ว่าพ่อแม่ของเขาจะมีความสัมพันธ์ที่ดี แต่หลังจากที่ทั้งสองท่านล่วงลับไป วัยเด็กของเย่เฉินก็พังทลายลงไม่เหลือชิ้นดี
หลังจากนั้น เย่เฉินก็อาศัยอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเป็นเวลา 10 ปี แม้ว่าป้าหลี่จะดูแลเขาอย่างดี แต่สำหรับเย่เฉินแล้ว มันช่างเป็นเวลา 10 ปีที่แสนเจ็บปวด
ตลอดเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ช่วง 5 ปีแรกเขาต้องยอมรับความจริงให้ได้ว่าพ่อกับแม่จากไปแล้ว ในช่วง 5 ปีต่อมา เขาต้องต่อสู้กับความโศกเศร้าเมื่อคิดถึงพ่อกับแม่
และสิ่งที่ทำให้เย่เฉินหายเป็นปกติในช่วง20ปีต่อมา และทำให้เขาสงบสติอารมณ์ ไม่เคยหลงทางคือคำสอนและความทรงจำที่ดีที่พ่อแม่ของเขามอบให้เขาก่อนที่เขาจะอายุแปดขวบ
พอมาลองคิดดู ความทรงจำดีๆของหลิวม่านฉงก็น่าจะมาจากตอนที่เธอยังเป็นเด็กเหมือนกัน แม่ของเธอพาเธอมาที่นี่ทุกวัน และพยายามทุกวิถีทางที่จะเกลี้ยกล่อมให้เธอกินข้าว ต่อมาคนที่รักเธอมากที่สุดได้จากไป ดังนั้น เธอจึงมาที่นี่เพื่อบรรเทาความคิดถึง
ในเวลานี้ พ่อค้าที่สวมผ้ากันเปื้อนกำลังผัดบะหมี่เนื้ออยู่ เมื่อเห็นหลิวม่านฉงเดินเข้ามา เขาก็ทักทายอย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้ม:”คุณม่านฉงมาแล้วเหรอ!”
หลิวม่านฉงกลับมารู้สึกตัว แล้วแย้มยิ้มอย่างรวดเร็ว เอ่ยพูดว่า “อาหนาน ทำไมสองวันก่อนไม่เปิดร้านล่ะ”
พ่อค้าพูดจ้ออย่างอารมณ์ดี “ลูกสะใภ้คลอดหลานน่ะสิ จ้ำม่ำเชียวล่ะ น้ำหนักแรกเกิดตั้งเจ็ดกิโล!”
ในเวลานี้ พ่อค้าที่สวมผ้ากันเปื้อนกำลังผัดบะหมี่เนื้ออยู่ เมื่อเห็นหลิวม่านฉงเดินเข้ามา เขาก็ทักทายอย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้ม:”คุณม่านฉงมาแล้วเหรอ!”
“ว้าว!” หลิวม่านฉงพูดด้วยความประหลาดใจ: “ดีจัง! เดี๋ยวครั้งหน้าคงต้องเอาซองแดงมาให้เจ้าตัวเล็กซะแล้ว!”
พ่อค้ารีบพูดว่า: “ไม่เป็นไรหรอกคุณม่านฉง เราได้รับความเมตตาจากคุณทุกปี เราจะกล้ารับเงินจากคุณอีกได้ยังไง”
หลิวม่านฉงยิ้มและพูดว่า “อาหนาน งั้นเอาอย่างนี้ไหม ฉันจะบอกผู้จัดการว่าน ไม่ให้เก็บค่าเช่าแผงในช่วงครึ่งปีหลังกับอา ทดแทนการให้ซองแดงเจ้าตัวเล็กแล้วกัน”
คนขายพูดด้วยความจริงใจว่า “ได้ยังไงกันเล่าคุณม่านฉง คุณไม่ได้ขึ้นค่าเช่ามาสิบปีแล้วนะ แถมยังดูแลพวกเราดีมาตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ผมก็คงหาเรื่องครอบครัวที่นี่ไม่ได้….”
หลิวม่านฉงหัวเราะและพูดว่า “อาหนาน ไม่เกรงใจฉันหรอกน่าเดี๋ยวยังไงฉันจะบอกผู้จัดการว่านให้แล้วกันนะ”
หลังจากนั้น เธอก็ชี้ไปที่เย่เฉิน และพูดกับคนขายของข้างถนนว่า “อาหนาน ฉันจะพาเพื่อนไปหาอะไรกินข้างใน คงต้องขอตัวก่อนนะ”
คนขายพยักหน้าอย่างขอบคุณ จากนั้นก็มองไปที่เย่เฉินและถามด้วยรอยยิ้มว่า “คุณหม่านฉง ในที่สุดคุณก็ออกเดทแล้วสินะ”
“ไม่ใช่นะ…”หลิวม่านฉงส่ายหัวอย่างรวดเร็ว: “แค่เพื่อนกัน”
คนขายมองที่เย่เฉินด้วยสีหน้าที่สื่อความหมาย เอ่ยพูดอย่างจริงจังว่า “ตั้งแต่ที่ผมอยู่ที่นี่มา 20 ปี คุณเป็นผู้ชายคนแรกเลยนะที่คุณม่านฉงพามาที่นี่”
หลิวม่านฉงกล่าวด้วยความตื่นตระหนก “อาหนาน เขาเป็นแค่เพื่อนของฉันจริงๆ อย่าคิดที่จะจุดชนวนเลย”
หลังจากพูดจบ เธอก็หันไปพูดกับเย่เฉินอย่างรวดเร็ว: “คุณเย่ ไปกันเถอะ”
เย่เฉินพยักหน้ากับพ่อค้า จากนั้นเดินไปที่ส่วนลึกของถนนคนเดินกับหลิวหม่านฉง
หลังจากออกจากร้านของอาหนาน เย่เฉินก็ถามเธอด้วยความสงสัย “คุณหม่านฉง ฟังจากที่อาหนานพูดเมื่อกี้ ดูเหมือนคุณจะเป็นเจ้าของที่นี่ใช่ไหม?”
หลิวม่านฉงกะพริบตา มือที่เรียวยาวของเธอชี้ไปที่หัวและหางของถนนคนเดิน และพูดด้วยรอยยิ้มอย่างพอใจว่า “ถนนเส้นนี้เป็นของฉัน!”
“โอ้!” เย่เฉินอดไม่ได้ที่จะยกนิ้วโป้งให้ “เจ้าของมือทองนี่นา!”
หลิวม่านฉงยิ้มและพูดว่า “ถ้าอยากเก็บผู้คนและเรื่องราวไว้ ก็ต้องลงทุนหน่อยสิ”
หลังจากพูดจบ เหล่าพ่อค้าแม่ขยริมถนนหลายคนเห็นหลิวหม่านฉง ต่างก็กล่าวทักทายอย่างเคารพ: “สวัสดีคุณหม่านฉง!”