ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 4470 การพบกันคือโชคชะตา
บทที่ 4470 การพบกันคือโชคชะตา
เซวียซือหยู่พยักหน้าเล็กน้อย และพูดอย่างอับอายว่า “ฉันก็ไม่ได้คาดคิดว่า หลังจากเซ็นต์สัญญาเข้าบริษัทแล้วจะได้รับคำขอดังกล่าว……แต่คุณหยางกล่าวแล้วว่า สัญญาของฉันเป็นสัญญานายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์แบบสิบปีเต็ม และบริษัทก็ได้จ่ายเงินล่วงหน้าหนึ่งล้านเหรียญฮ่องกงให้ฉันแล้ว และฉันต้องปฏิบัติตามข้อตกลงของบริษัท มิฉะนั้น บริษัทก็จะกีดกันฉัน และเมื่อถึงเวลานั้นฉันก็ไม่เพียงแต่จะไม่มีรายได้ แม้ฉันเองก็จะไม่สามารถหางานทำได้
เมื่อพูดอย่างนั้น น้ำตาของเซวียซือหยู่ก็ไหลรินลงมา และเธอก็สำลักและพูดว่า “ถ้าสัญญาถูกยกเลิก ฉันก็จะต้องชดใช้ค่าเสียหายที่ชำระแล้วเป็นยี่สิบเท่าให้กับบริษัท ฉันไม่สามารถเอาเงินออกมาได้มากขนาดนั้น ดังนั้นฉันจึงทำได้เพียงเชื่อฟังคำสั่งของหยางเท่านั้น……..”
เย่เฉินขมวดคิ้วและถามว่า “ทำไมคุณถึงต้องการเงินหนึ่งล้านนี้ล่ะ? เจอปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
เซวียซือหยู่พยักหน้าและพูดด้วยเสียงต่ำว่า “ตอนแรกฉันอยากจะเรียนต่อ แต่มีบางอย่างเกิดขึ้นกับครอบครัวของฉัน และติดหนี้ภายนอกเป็นจำนวนมาก ดังนั้นฉันจึงไม่สามารถเรียนต่อได้…….”
เมื่อพูดอย่างนั้น เซวียซือหยู่ก็พูดถึงเรื่องนี้อีกครั้งว่า “เดิมทีฉันวางแผนว่า จะหางานทำเงินเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวทันทีหลังเรียนจบ และช่วยพ่อแม่ของฉันชำระหนี้นอกที่ค้างชำระโดยเร็วที่สุด แต่ไม่คิดว่า จะได้เจอกับคุณหยางอยู่บนถนนในโตเกียว เขาบอกว่าเขาจะเซ็นสัญญากับฉัน และปั้นให้ฉันเป็นนักร้องคนหนึ่ง”
“อีกอย่าง คุณหยางยังให้สัญญาค่าธรรมเนียมการเซ็นต์สัญญาหนึ่งล้านเหรียญฮ่องกง ค่าธรรมเนียมการเซ้นต์สัญญาก้อนนี้ มันเพียงพอสำหรับฉันที่จะช่วยครอบครัวของฉันแก้ไขวิกฤตทั้งหมดได้แล้ว ดังนั้นฉันจึงเซ็นต์ไปเลย……..”
เย่เฉินยังคงถามต่อไปว่า “เขาได้เซ็นสัญญานายหน้าซื้อขายสิบปีเต็มกับคุณ และให้เงินเพียงหนึ่งล้านดอลลาร์ฮ่องกงงั้นเหรอ?”
เซวียซือหยู่รีบพูดว่า “ใช่……แต่สำหรับฉันแล้ว หนึ่งล้านมันก็มากพอแล้ว……..และในเวลานั้นฉันก็ไม่มีทางเลือกอื่น……..”
เย่เฉินพยักหน้า และถามว่า “ถ้าคุณไม่ต้องพิจารณาถึงค่าผิดสัญญา และก็หนี้สินในครอบครัว คุณอยากจะเป็นดารามากกว่า หรือไปเรียนต่อมากกว่า?”
เซวียซือหยู่พูดโพล่งออกมาโดยจิตสำนึกว่า “ฉันอยากจะไปเรียนต่อ……แม้ว่าฉันจะชื่นชอบดนตรี แต่ฉันก้ไม่เคยอยากเป็นดารา หลังจากเซ็นสัญญามาที่นี่แล้ว ฉันก็รู้เรื่องราววงในมากมายที่คนทั่วไปไม่รู้ในวงการนี้ ฉันรู้สึกว่าไม่สามารถเข้าไปปนเปื้อนอยู่กับพวกเขาได้หรอก หากมีโอกาสที่จะเลือกได้ ฉันยินดีจะกลับไปเรียนต่อ……”
ขณะที่เธอพูดอย่างนั้น น้ำตาของเธอก็ไหลออกมาเรื่อยๆ และเธอก็สำลักและกล่าวว่า “อันที่จริงฉันได้รับจดหมายตอบรับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยโตเกียวแล้ว เพียงแต่…….เพียงแต่สถานการณ์ของฉันไม่เปิดโอกาสให้ฉันได้เรียนต่อ…….”
เย่เฉินถามเธอว่า “ปริญญาโทจะเปิดเทือมเมื่อไหร่?”
เซวียซือหยู่ตอบว่า “เดือนกันยายน……..”
“โอเค” เย่เฉินพยักหน้า และพูดอย่างจริงจังว่า “เราได้พบกันก็ถือว่ามีโชคชะตาต่อกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเราได้พบกันสองครั้ง ในวันนี้ฉันจะจัดการเรื่องของคุณให้เรียบร้อยอย่างแน่นอน”
หยางเทียนเซิงเห็นว่าเย่เฉินหยิ่งผยองเช่นนี้ และเยาะเย้ยทันทีว่า “ช่างตลกจริงๆ! เธอได้เซ็นสัญญาภายใต้ชื่อบริษัทฉันเป็นลายลักษณ์อักษร ฉันจะปล่อยเธอไปได้อย่างไร?! มีผู้คนจำนวนมากที่อยากจะพาคนไปจากบริษัทของฉันหยางเทียนเซิง แต่ไม่มีใครประสบความสำเร็จเลยแม้แต่คนเดียว!”
หลิวเจียฮุยพูดโดยจิตสำนึกในเวลานี้ว่า “เทียนเซิง นี่แกกำลังพูดเรื่องมั่วแล้ว ก่อนหน้านี้ลูกชายคนโตของตระกูลหลี่ก็เคยแย่งผู้หญิงไปจากแกไม่ใช่หรือ?”
“แก…….” เมื่อหยางเทียนเซิงได้ยินคำพูดนี้ เขาก็โกรธขึ้นมาทันที ใบหน้าของเขาก็แดงก่ำ และเขาพูดอย่างโกรธเคืองว่า “ครั้งนั้นไม่นับ! ครั้งนั้นถือว่าฉันให้หน้าแก่เขา! มันเป็นฉันที่ให้หน้าเขา!”
หลิวเจียฮุยยักไหล่ และพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “แล้วแต่แก แล้วแต่แก แกเป็นนายใหญ่ แกพูดว่าอะไรก็คืออะไร”
ในเวลานี้ เลขามารายงานอีกครั้งว่า “ท่านประธาน มีกลุ่มคนที่อยากพบท่านที่ชั้นล่าง และคนที่เป็นผู้นำบอกว่าเขาแซ่ฮง…….”
หยางเทียนหัวเราะ “ฮ่าฮ่า! คุณฮงมาถึงแล้ว! ยังไม่รีบให้คนไปเชิญขึ้นมาอีก!”
หลิวเจียฮุยเหลือบมองเขาด้วยความสงสาร และพูดอย่างจริงจังว่า “เทียนเซิง เสียใจตอนนี้ บางทีมันอาจจะยังไม่สายเกินไป…….”
“หยุดพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว!” หยางเทียนเซิงพูดอย่างโกรธเคืองว่า “ตอนนี้คุณอยากจะขอร้องอ้อนวอนแทนเจ้าเด็กคนนั้นเหรอ? มันสายเกินไปแล้ว!”
หลิวเจียฮุยพยักหน้า และพูดกับเลขานุการอย่างช่วยไม่ได้ว่า “โอเค เชิญให้พวกเขาขึ้นมาเถอะ…….”