ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 4702 เขาคือหล่างหงจวิน 3
พูดจบ หล่างหงจวินก็พูดกับเย่เฉินด้วยเสียงคล้อยต่ำว่า: “ผมจะบอกความในใจให้นายรู้ สถานที่อย่างมอสโคว์ เรียกแบบคนหัวเซี่ยเราก็คือเมืองเถื่อน สมัยก่อนทำไมประธานาธิบดีต้องใช้เงินจำนวนมากสร้างกำแพง?ไม่ใช่เพื่อจะควบคุมพวกหนีเข้าเมืองกับลักลอบขนยาเสพติดหรอกเหรอ?พวกอเมริกันที่อยู่ดีกินดีที่ไหนจะมาที่นี่กัน” เย่เฉินพยักหน้าถามด้วยความสงสัย: “พี่ชาย เห็นคุณพูดมาตั้งนานยังไม่เห็นบอกเลยว่าไปทำอะไร”
หล่างหงจวินจึงไม่ปิดบังอีกต่อไปเอ่ยอย่างจริงจังว่า: “บอกตามตรงนะน้องชาย ครั้งนี้ที่ผมไปมอสโคว์ก็เพื่อไปเป็นกะลาสี”
“กะลาสี?” เย่เฉินถามด้วยความสงสัย: “เดินเรือเหรอครับ?”
“ถูกต้อง” หล่างหงจวินพยักหน้าเล่าต่อ: “เพื่อนแม่ของผมคนหนึ่งแนะนำมา บอกว่าเงินเดือนค่าตอบแทนไม่เลวเลย ปีหนึ่งได้เป็นหมื่นเป็นแสนดอลลาร์ แต่ลำบากหน่อยเท่านั้น”
เย่เฉินขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าเหมยอวี้เจินจะใช้กะลาสีเรือมาบังหน้าหลอกลวงหล่างหงจวิน เบื้องหลังมีเป้าหมายอะไรกันแน่
แต่อย่างน้อยมีข้อหนึ่งที่แน่ใจได้ว่า คนอำมหิตอย่างเหมยอวี้เจิน ต้องไม่หลอกหล่างหงจวินไปเป็นแค่กะลาสีเรือง่าย ๆ แน่
เย่เฉินเอ่ยด้วยสีหน้าธรรมดาว่า: “พี่ชาย ยังไงคุณก็เป็นคนมีความสามารถ ออกทะเลเป็นกะลาสีเรือดูจะเบียดบังความสามารถไปหน่อย ถ้าเป็นอย่างนี้ บอกตามตรงสู้คุณกลับไปเติบโตในประเทศดีกว่า ในประเทศมีความเจริญก้าวหน้าเร็วมาก ต้องมีลู่ทางที่ดีแน่”
หล่างหงจวินสีหน้าหล่างหงจวินตกใจ พูดด้วยความทอดถอนใจว่า: “ไม่ใช่ผมไม่เคยคิด เพียงแต่บางทีกลัวเสียหน้าไม่กล้าบอกตามตรง ญาติพี่น้อง ผองเพื่อน เพื่อนสมัยเรียนต่างรู้ว่าผมย้ายสัญชาติเป็นอเมริกันไปนานแล้ว อีกทั้งยังพาคุณแม่ไปสุขสบายที่อเมริกา หลายปีมานี้ สิ่งที่พวกเขาพูดถึงครอบครัวผมนอกจากอิจฉาก็ยังคงอิจฉา ถ้าผมกลับประเทศไปพัฒนาในเวลานี้ ไม่รู้ว่าพวกเขาจะพูดอะไรผมลับหลัง……”
เย่เฉินฟังถึงตรงนี้ก็เผยยิ้มเล็กน้อยพูดอย่างเฉยเมยว่า: “พี่ชาย อย่าเห็นว่าผมอายุน้อยกว่าพี่ แต่เรื่องความถูกและความผิด ผมเห็นชัดมากกว่าพี่ เรื่องของหน้าตา ให้พ่อแม่ลูกเมียกินอิ่มนอนหลับก่อนค่อยใส่ใจ ตอนนี้คุณต้องเลี้ยงครอบครัว ทำไมต้องสนใจเรื่องพวกนี้ด้วย? หรือการไปเป็นกะลาสีเรื่องที่มอสโคว์จะรักษาหน้าคุณไว้ได้?”
หล่างหงจวินพูดด้วยสีหน้าละอายใจว่า: “บอกตามตรงนะน้องชาย หลายปีมานี้ ผมรู้สึกละอายใจต่อมาตุภูมิ อย่าเห็นว่าผมถือสัญชาติอเมริกัน ถือพาสปอร์ตอเมริกา แต่ผมจำขึ้นใจเสมอว่าตอนนั้นมาตุภูมิเลี้ยงดูผมยังไง มาตุภูมิออกเงินส่งผมมาเรียนต่อ แต่ผมกลับทนสิ่งล่อลวงภายนอกไม่ไหว ทรยศต่อความไว้วางไว้ใจของมาตุภูมิ นายว่าถ้าผมเป็นเหมือนพวกเขาผมก็กลายเป็นคนใหญ่คนโตไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการแข็งแกร่ง ผู้บริหารระดับสูงอะไรอย่างนั้น ผมก็อยากนำเงินทองกลับบ้านเกิดให้แม่บริจาคโรงเรียนก่อตั้งกองทุนช่วยเหลือเด็กที่ไม่มีเงินเรียนหนังสือเพื่อเป็นการทำคุณไถ่โทษ……”
พูดถึงตรงนี้ หล่างหงจวินก็ดวงตาแดงก่ำเอ่ยด้วยความโศกเศร้าว่า: “ประเด็นคือผมใจไม่สู้เอง! ผมไม่ควรทรยศมาตุภูมิก่อน ตอนนี้อยู่ข้างนอกต่อไปไม่ได้แล้ว ไว้ค่อยกลับไปขอมาตุภูมิรับเลี้ยงเอาไว้ทีหลังก็แล้วกัน?”
สายตามองดูใบหน้าหล่างหงจวินที่เต็มไปด้วยความละอายใจ เย่เฉินก็เปลี่ยนทัศนคติบางอย่างต่อเขา
เดิมทีนึกว่าเขาเป็นพวกลัทธิเห็นแก่ได้ฝักใฝ่แต่ความร่ำรวยมั่งคั่ง แต่ตอนนี้ดูแล้วจิตใจของคนผู้นี้ก็ยังมีความสำนึกดีอยู่บ้าง
ส่วนตัวหล่างหงจวินเอง หลายปีมานี้ก็ไม่เคยเล่าก้นบึ้งจิตใจเหล่านี้ให้ใครฟังเลย