ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 4703 ไปสัมผัสประสบการณ์ด้วยตัวเอง 1
เขาเองก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมีพรหมลิขิตกับเย่เฉินมากขนาดนี้ ยอมให้ตัวเองเอ่ยคำส่วนลึกของจิตใจที่ซ่อนเอาไว้ออกมา
เขาแค่เก็บคำพูดเหล่านี้ไว้ในใจนานเกินไป กลั้นไว้ไม่เคยปลดปล่อยออกมา เพียงเพราะหาคนเหมาะสมที่จะระบายยังไม่ได้
ครั้นแล้ว เย่เฉินก็ปลอบใจว่า: “สุดท้ายมาตุภูมิก็ต้องอภัยให้ลูกหลาน หลายปีมานี้ หลาย ๆ คนที่เหมือนคุณกลับไป มาตุภูมิก็อ้าแขนเปิดรับ สำหรับมาตุภูมิแล้ว การส่งคนมีความสามารถออกไปเรียนต่อ ไม่ได้เรียกร้องให้ทุกคนเรียนจบก็กลับไปตอบแทนมาตุภูมิ แต่ขอแค่คนเหล่านี้ที่ถูกส่งออกมาให้มีส่วนหนึ่งยินยอมกลับไป ดังนั้นเรื่องนี้จึงสมควรไปทำ ส่วนตรงกลางที่ขาดหายไปก็เป็นแค่ความเสียหายตามปกติเท่านั้นเอง”
สักพักหนึ่งเย่เฉินก็เอ่ยว่า: “ก็เหมือนกับลังโฟมที่ขนส่งน้ำแข็งก้อนหนึ่ง ไม่ว่าคุณจะบรรจุน้ำแข็งแน่นหนาแค่ไหนก็ย่อมมีบางส่วนต้องละลายระหว่างการขนส่ง แต่นั่นก็ไม่เป็นไร สำหรับคนขนน้ำแข็งแล้ว ของแค่ถึงเป้าหมายมีน้ำแข็งเหลืออยู่ ความพยายามเหล่านี้ก็มีความหมายเชิงปฏิบัติแล้ว”
หล่างหงจวินตะลึงเล็กน้อย พยักหน้าเบา ๆ ทันทีในปากพึมพำว่า: “อันที่จริงตอนนั้นผม ถูกโลกที่มีสีสันของทางตะวันตกดึงดูด มักจะรู้สึกว่าเวทีที่นี่ยิ่งใหญ่ก็ยิ่งฉายแววตัวเองได้มากยิ่งขึ้น อันที่จริงเราก็ไม่ได้ลืมมาตุภูมิ เพียงแต่ทุกคนอัดอั้นมันไว้ ถ้ามีความเป็นอยู่ดี ก็กลับไปตอบแทนมาตุภูมิร้อยเท่า พันเท่า หมื่นเท่า แต่มักจะมีคนที่เหมือนผม แม้ตอนนั้นจะเย่อหยิ่งจองหอง แต่ก็จะค่อย ๆ กลายเป็นคนธรรมดาทั่วไป……”
พูดถึงตรงนี้ หล่างหงจวินก็พูดเคล้าน้ำตาว่า: “ผมอยากตอบแทนมาตุภูมิจริง ๆ นะ! แต่ตอนนี้ให้ตายเถอะขนาดแม่ผมเองผมยังเลี้ยงไม่ไหว อายุก็ 70 แล้วยังต้องทำงานหาเงินในร้านอาหารจีนมาเสริมค่าใช้จ่ายในบ้าน ผมเรียนหนังสือมาตั้งหลายปี เรียนเทคโนโลยีมาตั้งมากมาย เขียนรหัสมาตั้งเยอะขนาดนั้น สุดท้ายกลับต้องอาศัยอาชีพกะลาสีเรือเลี้ยงดูครอบครัว นายว่าผมจะมีหน้ากลับประเทศยังไง?”
เย่เฉินถามเขาว่า: “คุณเข้าใจงานกะลาสีเรือหรือเปล่า?”
หล่างหงจวินส่ายหน้าเอ่ยว่า: “ผมรู้แค่ขั้นตอนการทำงานคร่าว ๆ แต่ไม่รู้วิธีทำงานอย่างรูปธรรม คงทำงานจิปาถะล่ะมั๊ง ไหน ๆ ก็มาครั้งแรก ยังไงก็ต้องเรียนรู้เป็นหลัก งานนี้คงจะลำบากไม่น้อย น่าจะไม่ได้กลับบ้านเป็นปีครึ่ง”
เย่เฉินถามต่อ: “แล้วคุณคิดว่าคุณเหมาะจะเป็นกะลาสีเรือมั๊ย?”
หล่างหงจวินส่ายหน้าอีกครั้ง: “บอกตามตรง ผมทำเกี่ยวกับเทคโนโลยีการสื่อสาร ถ้านายถามผมว่าจองสินค้าขึ้นเรือยังไง หลีกเลี่ยงอุปสรรคยังไง เชื่อมต่อดาวเทียมกับภาคพื้นดินยังไง ผมบอกเป็นเรียงลำดับหนึ่งสองสามได้เลย แต่ถ้าให้ผมเป็นกะลาสีเรือ ผมหัวหมุนแน่ ขนาดพื้นฐานโครงสร้างเรือสินค้าผมยังไม่รู้เลย จนขึ้นเรือไปก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเมาเรือหรือเปล่า”
พูดจบ หล่างหงจวินพูดด้วยเสียงทอดถอนว่า: “แต่ก็ช่วยไม่ได้น่ะ เพื่อความอยู่รอด”
เย่เฉินกับหล่างหงจวินคุยกันอยู่นาน ก็ได้รู้อดีตของหล่างหงจวินมากขึ้น
เมื่อก่อนหล่างหงจวินเป็นคนหนุ่มที่มีความสามารถคนหนึ่ง
ขณะที่คนอื่นเพิ่งจะเรียนมัธยมต้น เขาก็สอบมหาลัยติดอันดับของรัฐบาลได้แล้ว
ส่วนคนอื่นขณะที่เตรียมสอบเข้ามหาลัย เขาก็เป็นนักเรียนทุนที่ทางรัฐบาลส่งไปเรียนต่อต่างประเทศ
เหล่าคนหนุ่มสาวในตอนนั้นก่อนจะมาอเมริกา ก็โอบอุ้มความไม่ธรรมดาไว้ในใจ
เวลานั้น ประจวบกับความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วซิลิคอนวัลเลย์ ยุคทองที่อินเทอร์เน็ตเปลี่ยนแปลงโลก หล่างหงจวินเห็นเหมือนกับเขาจางเฉาหยางที่เรียนอยู่อเมริกาด้วยกันกลับมาประเทศมาก่อตั้งโซวหู และก็เห็นเหมือนหลี่เหยียนหงที่เรียนอยู่อเมริกากลับมาก่อตั้งไป่ตู้ในประเทศ