ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 4704 ไปสัมผัสประสบการณ์ด้วยตัวเอง 2
บทที่ 4704 ไปสัมผัสประสบการณ์ด้วยตัวเอง 2
เขาได้เห็นรุ่นพี่ทั้งชายทั้งหญิงหลายคนที่เรียนต่ออเมริกาแล้วมีความก้าวหน้า ในขั้นตอนการพัฒนาอินเทอร์เน็ตแบบระเบิด รวยขึ้นกันเฉียบพลันทุกคน บางคนก็กลายเป็นประธานบริษัทมหาชนที่มีมูลค่ากว่าร้อยล้านดอลลาร์ ส่วนบางคนก็เป็นหุ้นส่วนในตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก (Nasdaq) ซึ่งมีมูลค่าเป็นสิบล้านดอลลาร์ในชั่วข้ามคืน
และเขาได้เห็นรุ่นพี่ทั้งหญิงทั้งชายหลายคนที่เรียนด้านไฟแนนซ์ พอเรียนจบก็เข้าทำงานในวอลสตรีทอินเวสท์เมนท์แบงค์ จบมาก็ได้เงินเดือนเป็นแสนเป็นล้าน ที่เจ๋งกว่านั้นก็คือ พวกเขาแต่ละคนยังถือกองทุนร่วมลงทุนตั้งแต่สิบล้านไปจนร้อยล้าน บางทีเวลาอาหารแค่มื้อเดียว ก็สามารถตัดสินโครงการลงทุนกว่าร้อยล้านดอลลาร์ได้อย่างผ่าเผยไม่มีใครเทียบ
และหลังจากนั้น เขายังเห็นรุ่นพี่ทั้งหญิงทั้งชายไม่น้อยที่ถือกองทุนร่วมทุนของอเมริกา กลับประเทศมาลงทุนในบริษัทสตาร์เอ็นเตอร์ไพรส์จำนวนมหาศาลที่มีชื่อเสียงในอนาคต ไม่เพียงช่วยให้องค์กรเหล่านั้นกลายเป็นสุดยอดองค์กรโลก ยังช่วยให้แบงค์ที่ตัวเองทำงานอยู่ทำกำไรมหาศาลด้วย ส่วนพวกเขาเองก็ได้ทั้งชื่อเสียงและผลประโยชน์ บางคนถึงขั้นถูกยกให้เป็นนักลงทุนที่เยี่ยมที่สุด เกิดเป็นตำนาน ชื่อเสียงกระฉ่อน
ที่ได้เห็นได้ยินทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นสิ่งเร้าหล่างหงจวินลงไปในส่วนลึก
เขาไม่อยากทำตามลำดับขั้นตอนเรียนจบจากอเมริกาแล้วก็กลับไปเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจหรือข้าราชการ เขาอยากเป็นเหมือนคนเหล่านั้น เป็นคนที่เหนือคน จากนั้นใช้ฐานของคนที่เหนือคน กลับประเทศอย่างมีหน้ามีตา ก่อตั้งบริษัทที่ยิ่งใหญ่ ไม่ก็ลงทุนในกลุ่มบริษัทชั้นนำ
แต่ว่า ไม่ว่าบริษัทไหน ๆ ก็เหลือหนทางของสุดยอดคนเก่งไว้แคบมาก
หลายปีมานี้ มีนักเรียนนอกระดับหัวกะทิเป็นหลักล้าน คนที่เป็นคนเหนือคนได้จริง ๆ แค่หลักร้อยยังไม่มีเลย
เพราะไม่ว่าจะยุคไหน เวลา สถานที่ และผู้คนต้องเหมาะสม ไม่ใช่แค่พยายามก็จะไต่เต้าไปสู่จุดสุดยอดได้
หล่างหงจวินเองก็เป็นเช่นนี้
เขาอยู่อเมริกาด้วยความฝัน แต่ความเป็นจริงกลับไกวกระบองใหญ่ใส่เขาตลอด
สองสามปีแรกที่เรียนอยู่อเมริกา เขายังมีอุดมการณ์ แต่พอไม่นาน เขาก็เริ่มวิ่งเต้นหาเลี้ยงชีพจนค่อย ๆ กลายเป็นความธรรมดา
จากที่หล่างหงจวินคุยกับเย่เฉินเยอะ จากที่เขาเผยความในใจมากขึ้นเลยไม่รู้เลยว่าตัวเองน้ำตานองเต็มหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่
เครื่องบินใกล้จะลงจอดแล้ว เย่เฉินยื่นกระดาษทิชชู่แผ่นหนึ่งให้เขาเอ่ยปากว่า: “พี่ชาย มอสโคว์ไม่เหมาะกับคุณ พอเครื่องลงจอดแล้วก็ซื้อตั๋วเครื่องบินกลับไปเถอะ”
หล่างหงจวินส่ายหน้าบอกว่า: “กลับไปทำอะไรล่ะ?ลูกเมียรอผมเลี้ยงดูอยู่ รถยนต์ที่บ้านก็ขายไปแล้ว เป็นอย่างนี้ต่อไปต้องได้ขายบ้านแน่”
พูดจบ เขาก็ทำหน้ามุ่งมั่นเอ่ยว่า: “เป็นกะลาสีเรือปีหนึ่งได้เงินก้อนเป็นหมื่นดอลลาร์ ก็แก้ไขปัญหาการเงินในบ้านได้แล้ว ดังนั้นผมจะกัดฟันทนต่อไป”
เห็นสีหน้าหนักแน่นของเขา อยู่ ๆ เย่เฉินก็รู้สึกว่า แผนการก่อนหน้าของตัวเองต้องปรับเปลี่ยนบางอย่างแล้ว
เดิมเขาวางแผนไว้ว่าจะให้คนของสำนักว่านหลงลักพาตัวหล่างหงจวินไปก่อน แล้วหาสถานที่สักแห่งขังเอาไว้ รอให้ตัวเขาสืบเรื่องทั้งหมดจนชัดเจน ถอนรากถอนโคนเหมยอวี้เจินกับคนเบื้องหลังของหล่อนหมดแล้วค่อยปล่อยหล่างหงจวินเป็นอิสระ
จากนั้นเขาอยากไปไหน อยากจะทำอะไรก็ไม่เกี่ยวกับเขาแล้ว
ท้ายที่สุดตัวเองอาจได้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ ซึ่งนับว่าเป็นธรรมชาติของเขาแล้ว
แต่อยู่ ๆ ตอนนี้เย่เฉินพบว่า การเผชิญหน้าคนวัยกลางคนที่ชีวิตกำลังสิ้นหวังและพยายามดิ้นรนในสภาพอับจน การทำอย่างนี้ เป็นแค่การตัดไฟความหวังดวงหนึ่งในชีวิตของเขาในตอนนี้เท่านั้นเอง