ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 4713 นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง 2
พูดจบเหล่าชายฉกรรจ์ที่ดูท่าท่าทางโหดร้ายพลันเอื้อมมือมาเปิดประตูรถทางเบาะหลังในทันที
จากนั้น พวกเขาพลันเอาปลายกระบอกปืนชี้มาทางเย่เฉินและหล่างหงจวิน พร้อมทั้งร้องตะโกนเสียงดังกระโชกโฮกฮากออกมา
ทว่า เป็นเพราะว่าเย่เฉินฟังภาษาสเปนไม่ออก จึงไม่รู้ว่าพวกเขากำลังพล่ามอะไรออกมา แต่มันกลับให้เขารู้สึกว่าคนพวกนี้ทำตัวน่ารำคาญเอามาก ๆ
เย่เฉินรีบเอามือทั้งสองข้างยกขึ้นหัว พร้อมทั้งร้องตะโกนออกมาว่า “มีอะไรพูดกันดี ๆ ก่อนครับ อย่าเพิ่งยิ่งอย่าเพิ่งยิงพวกผมพวกคุณไม่ใช่อยากได้เงินของพวกผมเหรอ? ในกระเป๋าผมมีพันกว่าดอลล่าห์ พวกคุณเอาไปให้หมดเลย! ถ้ายังไม่พออีก ถ้าอย่างนั้น กระเป๋าสัมภาระของพวกผม ผมให้คุณหมดเลย!”
ชายหนุ่มที่ได้ยินนั้น พลันหัวเราะออกมาด้วยความเย็นชา “พูดเรื่องอะไรไร้สาระออกมา? ฉันบอกให้พวกแกลงจากรถมาให้หมด พวกแกฟังไม่เข้าใจเหรอ?”
เย่เฉินรีบร้อนพูดออกมาว่า “เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว”
พูดจบพลันรีบร้อนก้าวขาลงจากรถไปในทันที
หลังจากที่ลงจากรถนั้น พลันมีชายฉกรรจ์สองคนเข้ามาล็อกตัวขนาบข้างซ้ายขวาของเขาในทันที จากนั้นจึงมักข้อมือของเขาเอาไว้ข้างหลัง ด้วยเชือกไนลอนเส้นประมาณหนึ่งเซน
เชือกไนลอนชนิดนี้มีความแข็งแรงทนทานเป็นอย่างมาก แม้ว่าในยามปกติจะมัดข้อมือทั้งสองข้างเอาไว้ด้วยกันแบบนี้ ถ้าพวกเขาเอาเชือกมัดเข้าแขนจนรัดเข้าไปในเนื้อจนล็อกติดเข้ากับกระดูกแล้ว พวกเขายังไงก็ไม่มีทางแก้เชือกออกได้แน่
อีกทั้งตัวล็อกของเชือกไนลอนชนิดนี้ ยังต้องแก้ไปในทิศทางเดียวกันอีกด้วย ยิ่งพวกเขาใช้เชือกดึงมัดแรงมากเท่าไหร่ มันก็จะไม่มีทางหลวมดังนั้นพวกกลุ่มอาชญากรเหล่านี้จึงชื่นชอบใช้เพื่อเอาไว้ขู่บังคับเหยื่อ
ดูจากประสบการณ์ของพวกเขาแล้วยังไม่เคยมีใครแก้มัดเชือกพวกนี้ออกมาได้แน่
หลังจากที่พวกเขาจับเย่เฉินมัดมือทั้งสองข้างเอาไว้แล้วนั้น หล่างหงจวินเองก็ถูกชายร่างใหญ่สองคนลากลงมาจากรถเหมือนกัน
หล่างหงจวินที่พยายามจะลองหยุดสกัดกั้นจากการจับกุมนั้น แต่ฝ่ายตรงข้ามกับจับตัวเขากดลงไปแนบพื้นแทน ทั้งยังจับแขนทั้งสองข้างของเขาเอาไว้มัดล็อกติดกันอีก
ปากของหล่างหงจวินที่เปรอะเปื้อนไปด้วยดินนั้น เขาพ่นออกมาเสียหลายครั้ง พร้อมตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงแหบห้างว่า “แหวะแหวะแหวะ พวกแกคิดจะทำอะไรกันแน่?! พวกแกคิดจะมาลักพาตัวคนที่ล้มละลายอย่างฉัน พวกแกคิดผิดแล้ว นอกจากจะทำให้พวกแกเปลืองข้างเปลืองน้ำ ฉันยังไม่มีประโยชน์อะไรอีกด้วย !”
ชายหนุ่มคนนั้นจึงเดินเข้ามาหล่างหงจวิน พร้อมกับนั่งคุกเข่าลงอยู่ด้านหน้าของเขา พลางใช้ปืนตบไปที่ใบหน้าของหล่างหงจวินในทันที พร้อมทั้งแย้มยิ้มกล่าวออกมาว่า “พี่ชายพี่อย่าไปคิดว่าตัวเองไม่มีประโยชน์สิ ที่จริงแล้วพี่มีค่ามากกว่านั้นอีกนะ!”
ทั้วเย่เฉินและหล่างหงจวินที่ถูกฝ่ายตรงข้ามขู่บังคับด้วยปืนให้เข้าไปในบ้านอิฐหลังหนึ่งนั้น
ทว่า ด้านในตัวบ้านไม่ได้มีเฟอร์นิเจอร์อะไรมากมายนัก มีเพียงโคมไฟหนึ่งดวงและทางบันไดที่ลาดยาวลึกลงไป
ทั้งสองคนที่ถูกพวกเหล่าอาชญกรกลุ่มใหญ่พาตัวมาที่ด้านล่างในทันที ที่แท้ด้านล่างนี้ยังมีโถงอุโมงค์ขนาดใหญ่ถูกสร้างเอาไว้อีกด้วย
พื้นที่ด้านล่างโดยส่วนใหญ่มีทางเดินหนึ่งเส้น ทางฝั่งซ้ายขวาถูกแบ่งแยกออกกันอย่างชัดเจน ด้านซ้ายพลันมีประตูเหล็กที่คล้ายกับห้องขัง ด้านในมีคนอยู่ประมาณเจ็ดถึงแปดคน ฝั่งขวาเป็นเพียงม่านสีขาวผืนใหญ่ที่ถูกลากมาคลุมปิดเอาไว้ ทำให้มองไม่ออกว่าด้านหลังผ้าม่านผืนนั้นมีสิ่งใดซ่อนไว้อยู่ด้านหลังกันแน่
ทว่า ทั่วพื้นดินด้านล่างกลับเต็มไปด้วยกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อรุนแรงมาก อีกทั้งยังมีกลิ่นที่เข้มข้นจนแทบจะสำลักออกมา นอกจากนั้น ยังได้ยินเสียงเครื่องช่วยหายใจพร้อมกับเสียงเครื่องไม้เครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ ดังออกมาเป็นระยะ
เย่เฉินจึงพอจะเดาได้ว่า ที่นี่คงเป็นห้องผ่าตัดขนาดเล็ก
อีกทั้ง เย่เฉินยังสัมผัสได้อีกว่า ด้านหลังม่านผืนใหญ่แผ่นนั้น มีคนที่ร่างกายอ่อนแอสองคน กำลังผล็อยหลับไปด้วยความอาการที่สาหัส
ในเวลาเดียวกัน บนทางเดินพลันมีชายผิวเหลืองอายุราว ๆ ประมาณห้าสิบได้ปรากฏตัวขึ้น พร้อมทั้งมุ่งหน้าเข้ามาหาหล่างหงจวินโดยไม่สนใจผู้คนที่อยู่รอบด้าน จากนั้นจึงเหลือบมองไปยังเย่เฉินที่ยืนอยู่ข้างกาย พร้อมทั้งหันไปถามกับชายหนุ่มคนนั้นว่า เดินเข้ามา “อะเหลี้ยง คนพวกนี้ถูกได้รับการยืนยันตัวตนแล้วเหรอ?”