ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 4807 คุณหนูเฟ่ยมาเยี่ยม 1
ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน บทที่ 4807 คุณหนูเฟ่ยมาเยี่ยม 1
อาการหัวเสียของคุณท่านทำให้สามพี่น้องตระกูลอานมีสีหน้าชะงักงัน
แม้ว่าทุกคนจะพอเดาบทสรุปได้อยู่แล้ว แต่ตอนที่คุณท่านพูดออกมา ทำให้ทุกคนเกิดความรู้สึกหนาวสันหลัง
สีหน้าของอานข่ายเฟิงสับสนพลางกล่าวว่า “ผมไม่เข้าใจ……คนพวกนี้มีความแค้นอะไรกับพวกเรากันแน่ ความแค้นอะไรที่ทำให้พวกเขาจับตาดูเราอยู่ตลอดยี่สิบปี”
อานจาวหนานกล่าวอย่างข้องใจเช่นกัน “การได้มาซึ่งทรัพย์สมบัติของตระกูลอานก็ไม่ได้ทำเรื่องผิดศีลธรรมอะไรมา หลายปีที่ผ่านมานี้ ทรัพย์สินของพวกเราส่วนใหญ่ก็ได้มาจากนักลงทุนใจดีในตอนนั้น โดยเฉพาะพี่สาวของฉันที่คอยสนับสนุนซิลิคอนแวลลียในสัดส่วนครึ่งหนึ่ง แล้วใครกันที่มีความเคียดแค้นกับพวกเราอย่างลึกซึ้งขนาดนี้”
อานโฉงชิวกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “บางทีพวกมันอาจจะอยากได้อะไรบางอย่างจากพวกเราก็ได้”
อานจาวหนานถามกลับว่า “พี่ใหญ่ ความหมายของพี่คือ พวกมันอยากได้เงินของพวกเรางั้นหรือ”
“ฉันเองก็ตอบไม่ได้” อานโฉงชิวกล่าว “ฉันรู้สึกแค่ว่าอีกฝ่ายหนึ่งวางแผนมาแล้วเป็นเวลานาน น่าจะไม่ใช่เพราะเหตุผลเรื่องการแก้แค้นเท่านั้น”
คุณท่านอานฉี่ซานขมวดคิ้ว “ถ้าหากอยากได้เงินก็ไม่จำเป็นที่จะต้องฆ่าพวกเราทั้งตระกูลสักหน่อย ช่วงนี้ทรัพย์สินส่วนมากก็มีเพียงแค่ตัวเลขเท่านั้น เพราะทั้งหมดก็อยู่ในบัญชีธนาคาร บัญชียืนยันตัวตนรวมทั้งตัวเลข รวมทั้งอีกจำนวนมากที่อยู่ในทรัสต์ อีกอย่างเงินทุกบาททุกสตางค์ก็ถูกบันทึกลงในบัญชีหมดแล้ว ต่อให้ฆ่าพวกเราจนหมด ทรัพย์สินของพวกเราก็ไม่มีทางตกไปอยู่ในมือของพวกมันได้”
อานโฉงชิวพยักหน้า “นี่ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ฉันไม่เข้าใจ……”
สี่คนพ่อลูกตกอยู่ในความเงียบงัน
ในตอนนั้นเอง ลูกสาวคนเล็กอานโยวโยวก็เคาะประตูแล้วรายงานอยู่จากด้านนอก “พ่อคะ คุณหนูเฟ่ยโทรมาบอกว่าอีกสักครู่จะมาเยี่ยมค่ะ”
“คุณหนูเฟ่ย……” คุณท่านขมวดคิ้วก่อนจะถามไปโดยสัญชาตญาณ “คุณหนูเฟ่ยคนไหน”
อานโฉงชิวรีบตอบว่า “พ่อจำไม่ค่อยได้แล้วใช่ไหมครับ คุณหนูเฟ่ยคือคนที่ผมเล่าให้พ่อฟังเมื่อเช้า หลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นกับพวกเรา คุณหนูเฟ่ยคือคนที่บุคคลผู้มีพระคุณลึกลับนั้นสั่งให้มาช่วยดูแลพวกเราต่อ เธอเป็นเจ้าตระกูลของตระกูลเฟ่ยตอนนี้”
คิ้วของคุณท่านขมวดแน่น จากนั้นก็นึกออกในที่สุดจึงรีบกล่าวว่า “คุณหนูเฟ่ยก็มีบุญคุณกับตระกูลอานของเราเช่นกัน รีบเตรียมการต้อนรับเร็ว”
อานโฉงชิวรับถามอานโยวโยว “โยวโยว คุณหนูเฟ่ยจะมายังไง”
อานโยวโยวกล่าวว่า “คุณหนูเฟ่ยบอกว่าจะนั่งเฮลิคอปเตอร์มาค่ะ แล้วมาลงจอดที่ดาดฟ้าของอาคาร”
คุณท่านกล่าวออกมาโดยในทันว่า “พาฉันขึ้นไปดาดฟ้าด้วย ฉันจะไปรับด้วยตัวเอง เธอจะได้รู้ว่าเราให้ความสำคัญ”
อานโฉงชิวรีบกล่าวว่า “พ่อรออยู่ที่นี่เถอะครับ ผมจะไปรับคุณหนูเฟ่ยเอง”
แน่นอนว่าคุณท่านไม่เห็นด้วย “ไม่ได้ ฉันต้องไป!”
จากนั้นจึงหันไปพูดกับอานโฉงชิวว่า “โฉงชิว แกไปรับกับฉันด้วย ส่วนข่ายเฟิงไปรวบรวมคนอื่นๆ ไปรอที่ห้องประชุม คุณหนูเฟ่ยก็ช่วยพวกเราเอาไว้มาก เมื่อถึงเวลาที่ต้องต้อนรับก็ต้องทำอย่างเต็มที่”
อานข่ายเฟิงพยักหน้าแล้วตอบว่า “ได้ครับพ่อ ผมจะไปจัดการให้”
อานข่ายเฟิงไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงหันไปคุยกับอานโยวโยวว่า “โยวโยวช่วยไปแจ้งการ์ดเอาไว้หน่อย เมื่อถึงเวลา ก็ตรวจสอบตามหลักความปลอดภัยเหมือนเดิม แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาพิเศษก็ต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยด้วย”
คุณท่านรีบกล่าวว่า “ไม่ต้อง! คุณหนูเฟ่ยช่วยเราไว้ตั้งมากมาย ไม่มีทางที่จะทำไม่ดีกับพวกเรา เธออุตส่าห์มาเยี่ยม หากพวกเราทำการตรวจสอบความปลอดภัย นั่นก็เท่ากับว่าพวกเราไม่เชื่อใจเธอ”
อานโฉงชิวเห็นท่าทางเด็ดขาดของพ่อก็ได้แต่พยักหน้า ทว่าเขายังหันไปสั่งอานโยวโยวว่า “โยวโยว พวกเธอรออยู่ด้านในก็ต้องระวังตัวหน่อย หากเกิดเรื่องอะไรไม่คาดฝันขึ้นมาก็ให้ปิดประตูทางเข้าทันที”