ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 4849 ภารกิจลับ 3
ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน บทที่ 4849 ภารกิจลับ 3
แต่สิ่งที่ทำให้เขาเลี่ยงไม่ได้ก็คือ ทุกครั้งเหออิงซิ่วก็มักจะไม่ตอบกลับอย่างตรงไปตรงมาเลย
เขาคิดว่าเป็นเหออิงซิ่วที่ค่อนข้างผิดหวังต่อตน แล้วบวกกับระยะห่างเมื่อปีนั้นที่เราสองคนตัดสินใจจากความใจร้อนชั่ววูบที่ผ่านมาหลายปีแล้ว เป็นไปได้มากว่าเหออิงซิ่วไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับตนมานานแล้ว
แต่เขาไม่รู้ว่าอันที่จริงแล้วในชั่วชีวิตนี้ของเหออิงซิ่วตั้งแต่เกิดจนตายนั้น ก็รักเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น และจบวจนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นนี้อยู่เสมอมา
ยังไงในปีนั้นเหออิงซิ่วก็ยังเป็นช่วงเวลาที่โง่เขลาเบาปัญญาอยู่ ก็เริ่มปกป้องเขาอยู่ข้างกายซูโสว่เต้าในทุกคืนวัน ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจก็ได้ฝังรากลึกลงไปแล้ว
ต่อมาก็เลี้ยงดูลูกสาวของเราสองคนโดยลำพังมาจนเติบใหญ่ ความรู้สึกในใจที่มีต่อเขา ไม่ได้ลดน้อยลงไปเลยในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้
เพียงแต่ว่าเหออิงซิ่วเมื่ออยู่ต่อหน้าซูโสว่เต้าก็มักจะคิดว่าตนเองด้อยค่ามาตลอด
ความน้อยเนื้อต่ำใจในปีนั้นเป็นเพราะความแตกต่างทางความอาวุโส
และความน้อยเนื้อต่ำใจในตอนนี้กลับเป็นเพราะแขนบนร่างของตนขาดหายไป
เธอคิดว่าแม้ว่าซูโสว่เต้าตอนนี้ไม่ได้ดูสูงส่งและมีความสง่างามเช่นนั้นเหมือนเมื่อตอนปีนั้นอีกแล้ว แต่ดีที่ยังไงก็ยังเป็นลูกชายคนโตของตระกูลซู ผู้ชายเช่นนี้จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะเดินเคียงข้างกับผู้หญิงที่แขนด้วนไปหนึ่งข้างด้วยกัน?
ดังนั้นแม้ว่าในช่วงเวลานี้ ซูโสว่เต้าจะแสดงท่าทีที่มีความรู้สึกออกมาอยู่บ่อยครั้ง แต่เหออิงซิ่วไม่ว่ายังไงก็ไม่กล้าตกปากรับคำตรงๆ ซึ่งหน้าแก่เขา
เธอคิดว่าตัวเองยังไงก็ไม่คู่ควรกับซูโสว่เต้า
รอในอนาคตเย่เฉินเก็บคำสั่งกักขังบริเวณเขากลับไป เขาก็จะต้องสามารถหาผู้หญิงที่ดียิ่งกว่าตนเองและเหมาะสมยิ่งกว่าตนได้อย่างแน่นอนเลย
ตนเองนั้นในปีนั้นท้องลูกของเขา ต่อมาเรื่องก็แดงขึ้นมา ตนก็นับได้ว่าได้ไปถ่วงชีวิตของเขาไว้แล้วครั้งหนึ่ง บัดนี้จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะมาเป็นตัวถ่วงของเขาเป็นครั้งที่สอง
แต่ทว่าเธอจะไปนึกถึงได้อย่างไรว่า ในใจของเย่เฉินนั้นได้จัดแจงภารกิจลับที่ใครก็ไม่อาจทราบได้ไว้ให้แก่ซูโสว่เต้านานแล้ว
กุญแจสำคัญที่ซูโสว่เต้าจะสามารถยกเลิก ‘การกักบริเวณ’ ได้หรือไม่นั้น จุดหลักเลยก็อยู่ที่เธอและซูโสว่เต้าว่าจะสามารถเดินไปด้วยกันกันแน่ได้หรือไม่
ซูโสว่เต้าที่จิตใจว้าวุ่น ลังเลอยู่หลายครั้งแต่ก็ยังคงนั่งอยู่ที่ด้านตรงข้ามของเหออิงซิ่วอยู่
เหออิงซิ่วเห็นว่าเขามาแล้วก็ค่อยๆ ยิ้มออกมา แล้วเอ่ยปากถามเขาว่า: “หลับดีไหม?”
“ค่อนข้างดีนะ” ซูโสว่เต้ารับคำ แล้วมองมายังนอกหน้าต่างครู่หนึ่ง จากนั้นก็มองไปยังเหออิงซิ่วอีกครู่หนึ่งแล้วกล่าวถามเธอว่า: “ทำไมเธอไม่เข้าไปพักผ่อน?”
เหออิงซิ่วตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เครื่องบินกัลฟ์สตรีมลำนี้ด้านในแค่ดัดแปลงห้องนอนหนึ่งห้องเท่านั้น แม้จะบอกว่าตั้งแต่ตอนเริ่มแรกซูโสว่เต้าก็เคยพูดไว้ว่าสองคนสามารถพักผ่อนในห้องนอนด้วยกันได้ แต่เธอก็ยังรู้สึกว่าไม่เหมาะสมอยู่บ้าง
ซูโสว่เต้ากลัวว่าเธอจะเข้าใจผิด ตอนนั้นยังเน้นย้ำชัดเจนว่าตนเองไม่ได้มีเจตนาอื่นใดเลย เพียงแค่ว่าระยะทางยาวไกล สองคนสามารถแบ่งเตียงใหญ่ในห้องนอนได้ เช่นนี้ทั้งสองคนต่างก็สามารถได้พักผ่อนระหว่างทางอีกด้วย
เหออิงซิ่วไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เพียงแค่ให้ซูโสว่เต้าไปพักผ่อนก่อน แต่เธอเองกลับนั่งอยู่ด้านนอก 10 กว่าชั่วโมง
ได้ยินซูโสว่เต้ากล่าวถาม เหออิงซิ่วก็ยิ่งกล่าวออกมาอย่างไม่ค่อยเป็นธรรมชาติอยู่เล็กน้อย: “ฉันเป็นคนที่ฝึกวรยุทธ์ ยังไงก็ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย แล้วก็ไม่อยากจะรบกวนคุณพักผ่อนด้วย ดังนั้นก็เลยตัดสินใจอยู่ดูวิวทิวทัศน์ที่ด้านนอกดีกว่า”
ซูโสว่เต้ากล่าวด้วยเสียงพึมพำ: “ตลอดทางบินตั้งแต่กลางคืนจนกลางคืนอีกวัน จะมีวิวทิวทัศน์ให้ดูที่ไหนกันเล่า”
เหออิงซิ่วหัวเราะออกมาอย่างไม่เป็นธรรมชาติเลย จากนั้นเจตนาที่จะเปลี่ยนหัวข้อเรื่อง จึงกล่าวพึมพำขึ้นมาว่า: “ไม่รู้ว่าจู่ๆ คุณเย่เรียกให้พวกเราไปที่สหรัฐอเมริกามีธุระอะไรกัน ฉันถามรั่วหลีไป เธอก็ไม่ได้อธิบายให้ชัดเจนกับฉัน เพียงแต่บอกว่าอาจจะเป็นเรื่องดีที่ยิ่งใหญ่ ให้ฉันและคุณรีบไปโดยไว”
ซูโสว่เต้ากล่าวพึมพำด้วยความขุ่นเคือง: “ธุระที่เกี่ยวพันกับเย่เฉินจะมีเรื่องดีๆ อะไร ตั้งแต่วันนั้นที่ได้รู้จักเขาก็ไม่เห็นจะได้เคยพบเจอเรื่องดีอะไรเลย……”