ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 5699 เข้าใจแต่แสร้งทำเป็นเลอะเลือน(1)
ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน บทที่ 5699 เข้าใจแต่แสร้งทำเป็นเลอะเลือน(1)
เครื่องบินของผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสามกลับหัวไป ทำให้ภายในใจของเย่เฉินรู้สึกถึงสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้
ต่อหน้าองค์กรพั่วชิง ถึงแม้ว่าตนจะอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นรอง แต่ว่าได้ประมือกับองค์กรพั่วชิงหลายครั้ง ตนเอาชนะได้ครั้งแล้วครั้งเล่า
ตอนนี้ องค์กรพั่วชิงไม่เพียงสูญเสียหน่วยทหารกล้าตายหน่วยหนึ่งไป ยังสูญเสียท่านเอิร์ลทั้งสามไปอีก สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ ครั้งนี้ ๆได้เริ่มทำให้อู๋เฟยเยี่ยนพะวงหน้าพะวงหลัง
เย่เฉินเคยคาดคะเนภายในใจจิตใจของอู๋เฟยเยี่ยน ถึงแม้ไม่เคยเห็นหน้า แต่สามารถรู้สึกได้ถึงลักษณะเด่นสองสามจุดใหญ่ของผู้หญิงคนนี้ จุดหนึ่งคือมีนิสัยขี้ระแวง จุดหนึ่งคือมีความระมัดระวังรอบคอบเป็นอย่างยิ่ง
ถ้าหากไม่ใช่เป็นคนขี้ระแวง เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่จะใช้แค่เพียงคนสนิท เป็นส่วนสำคัญขององค์กรพั่วชิง ทั้งหมดล้วนควบคุมอยู่ในมือของคนตระกูลอู๋
ถ้าหากไม่ใช่ระมัดระวังรอบคอบเป็นอย่างยิ่ง แล้วก็เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่จะพยายามปกปิดตัวตนของตัวเองอย่างสุดความสามารถ เกรงว่าคนนอกจะรู้จักตนเอง
ดังนั้น ยิ่งมีลักษณะนิสัยแบบนี้ ก็ยิ่งไม่กล้าพนันด้วยเดิมพันสูง
เนื่องด้วยเหตุนี้ เย่เฉินถึงวินิจฉัยได้ว่า ทันทีที่ภาพวาดของเมิ่งฉางเชิงปล่อยออกมา เธอไม่กล้ามาเมืองจินหลิงอีกแน่นอน
เย่เฉินที่ถอนหายใจอย่างโล่งอก เตรียมที่จะโทรศัพท์หาหลินหว่านเอ๋อร์เพื่อแจ้งข่าวดี แล้วก็ทำให้เธอสบายใจขึ้นบ้าง
แต่คิดไม่ถึงว่า ทันทีที่ตนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา โทรศัพท์ของหลินหว่านเอ๋อร์ก็โทรมาก่อน
เย่เฉินรับโทรศัพท์ ก็ได้ยินหลินหว่านเอ๋อร์ปลายสายทางด้านนั้น: “คุณชาย ดิฉันเพิ่งจะค้นพบ มีเครื่องบินโบอิ้ง777ลำหนึ่งที่บินมาจากบัวโนสไอเรส ทันใดนั้นก็หันหัวกลับ! ผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสามก็น่าจะอยู่บนเครื่องบินลำนั้นละมั้ง?”
เย่เฉินถามอย่างประหลาดใจ: “คุณก็เฝ้าติดตามเครื่องบินลำนั้นเหรอ?”
หลินหว่านเอ๋อร์กล่าว: “เรียนคุณชาย ดิฉันเฝ้าติดตามสถานการณ์เที่ยวบินของในอเมริกาใต้ หลังจากที่ได้เห็นก็รีบโทรศัพท์หาคุณชาย แต่ว่าดูเหมือนว่าโทรศัพท์สายนี้ของดิฉันคงมากเกินความจำเป็น คุณชายเองก็สังเกตเห็นแล้ว”
เย่เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม: “ไม่เกินความจำเป็น ในเมื่อพวกเราสองคนต่างก็สังเกตเห็นเครื่องบินลำเดียวกัน นี่ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่า การคาดเดาของพวกเราค่อนข้างเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดความผิดพลาด ผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสามจะตั้งถูกอู๋เฟยเยี่ยนเรียกกลับไป”
หลินหว่านเอ๋อร์หัวเราะคิกคัก กล่าว: “แผนการของคุณชายดีจริงๆ ทันทีที่ร้องจบ ไม่เพียงแก้ไขสถานการณ์คับขันที่อยู่ตรงหน้าได้ ยังทำให้อู๋เฟยเยี่ยนพะวงหน้าพะวงหลัง เมื่อเทียบกับเรือฟางยืมเกาทัณฑ์ของจูกัดเหลียงในตอนนั้นก็ไม่ได้เลวร้ายไปกว่า!”
ผิวหน้าของเย่เฉินร้อนผ่าวเล็กน้อย เอ่ยปากกล่าว: “คุณหลินก็ไม่ต้องประจบประแจงผมแล้ว ผมไม่ได้มีความสามารถอะไร จะกล้าเปรียบกับจูกัดเหลียงได้อย่างไร”
หลินหว่านเอ๋อร์กล่าวจริงจัง: “ในความคิดและมุมของดิฉัน คุณชายไม่เหมือนจูกัดเหลียง ถึงแม้ว่าต่อให้เขาจะฉลาดสักแค่ไหน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีความสามารถเช่นคุณชาย”
พูดไป หลินหว่านเอ๋อร์ไม่ได้ต่อความยาวสาวความยืดของคำถามข้อนี้ แต่ถามเย่เฉิน: “ไม่ทราบว่าต่อจากนี้ไปคุณชายมีแผนการอย่างไร?”
เย่เฉินกล่าว: “ตอนนี้ยังไม่ได้มีแผนการอะไร คุณตาของผมยังอยู่ที่เมืองจินหลิง ผมตั้งใจว่าจะเจอหน้ากับเขาสักครั้ง บุญคุณความแค้นหลายปีมานี้ ก็ถึงเวลาที่จะพูดคุยอย่างชัดเจนต่อหน้าแล้ว”
หลินหว่านเอ๋อร์กล่าวอย่างเห็นด้วย: “คุณชายก็ควรที่จะไปพบหน้าพวกเขาแล้วจริงๆ เมื่อคืนนี้จนถึงตอนนี้ เชื่อว่าพวกเขาคงรอการปรากฏตัวของคุณชายอีกครั้งมาตลอด”
เย่เฉินจ้องมองเวลา เวลานี้ยังไม่ถึงตอนกลางวัน ดังนั้นจึงกล่าว: “การต่อสู้เมื่อวานทำให้จิตใจของคนเหนื่อยล้าจริงๆ ตอนนี้อู๋เฟยเยี่ยนได้เรียกผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสามถอยกลับไปรังขององค์กรพั่วชิง ในที่สุดผมก็ได้หายใจอย่างโล่งอกชั่วขณะ ตอนบ่ายผมก็จะพักผ่อนเป็นอย่างดีที่บ้าน ตอนกลางคืนค่อยไปที่บ้านคุณตา”
หลินหว่านเอ๋อร์กล่าวเห็นด้วย: “เมื่อคืนนี้จนถึงตอนนี้ คุณชายเจออะไรมาเยอะมากเกินไป ควรจะพักผ่อนให้ดีจริงๆ”