ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - 1395
พอเย่เฉินฟังที่เซียวชูหรันเล่าจบ ก็ยิ้มโดยไม่พูดอะไรอยู่คนเดียว
เขารู้ เพราะอะไรหลังจากที่ตนแต่งงานกับเซียวชูหรัน คุณท่านใหญ่เซียวถึงไม่พูดเรื่องนี้อีก นั่นเป็นเพราะคุณท่านใหญ่เซียวรู้สึกว่าเขายกเซียวชูหรันให้แต่งงานกับตน กับตระกูลของตน เท่ากับเป็นการตอบแทนบุญคุณให้ตระกูลเย่แล้ว
แต่คำพูดนี้ เขาย่อมไม่มีทางบอกเซียวชูหรัน
เวลานี้ จู่ๆ เซียวชูหรันก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อนจะพูดด้วยความดีใจว่า “ว้าว! หิมะตกจริงๆ ด้วย!”
เย่เฉินเงยหน้า ปุยหิมะอันเย็นเยียบปอยหนึ่งตกลงมาบนหน้าผาก หลังจากนำพาความรู้สึกหนาวเย็นมาด้วย ก็ละลายหายไปในพริบตา
เริ่มแรกยังเป็นเพียงปุยหิมะตกลงมาปอยเล็กๆ หลังผ่านไปสิบนาที ปุยหิมะก็ค่อยๆ ตกลงมาเต็มท้องฟ้าในยามค่ำคืน
สำหรับเมืองทางตอนใต้อย่างจินหลิงนี้ หิมะตกหนักขนาดนี้ จึงพบเห็นได้ยากอย่างแท้จริง
เซียวชูหรันกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุขบนพื้นหิมะราวกับเด็กๆ
ตอนนี้หิมะเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ เธอจึงลากเย่เฉินมาหยุดยังลานบ้าน ทางหนึ่งก็กอบหิมะชั้นบางๆ บนหลังคารถมารวมกัน ทางหนึ่งก็กล่าวกับเย่เฉินว่า “หากตกอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ล่ะก็ พรุ่งนี้ก็สามารถปั้นตุ๊กตาหิมะกับเล่นปาหิมะได้แล้ว!”
เย่เฉินพยักหน้า เอ่ยขึ้นอย่างทอดถอนใจว่า “หลายปีแล้วที่ไม่ได้ปั้นตุ๊กตาหิมะ”
คราวก่อนที่ทำเรื่องพวกนี้ ยังคงเป็นตอนอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ตนเองกับจ้าวเห้าที่เป็นเพื่อนในวัยเด็กตอนนั้นอยู่ด้วยกัน พาหลี่เสี่ยวเฟินน้องสาวในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไปปั้นตุ๊กตาหิมะตัวมหึมาบนที่ว่างของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
เพียงพริบตาเดียว ก็ผ่านมาเกือบจะสิบปีแล้ว
หิมะในจินหลิงเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ โมเมนต์ในวีแชท เว่ยโป๋และติ๊กต็อก แทบจะโพสต์เนื้อหาเกี่ยวกับหิมะนี้ทั้งนั้น แม้แต่คุณท่านซ่งก็ยังโพสต์โมเมนต์หนึ่ง โดยถ่ายภาพหิมะมุมสูงจากบนตึกคฤหาสน์ใบหนึ่ง พร้อมกับข้อความว่า “หิมะตกเพาะปลูกอุดมสมบูรณ์”
ซ่งหวั่นถิงก็โพสต์โมเม้นต์เช่นกัน ไม่มีรูปภาพ มีเพียงประโยคหนึ่ง “ฉันกำลังเขียนชื่อของคุณลงบนพื้นหิมะ กลัวคนจะเห็นชัด จึงลบมันออกไป…”
เย่เฉินเดาว่าคำว่า “คุณ” ที่เธอจะสื่อคงหมายถึงตัวเขาเอง แต่เขาไม่ได้กดไลค์ และไม่ได้คอมเมนต์
ค่ำคืนนี้ เย่เฉินเล่นเป็นเพื่อนเซียวชูหรันอยู่บนพื้นหิมะนานมาก จวบจนเลยเที่ยงคืน ทั้งสองคนถึงได้กลับห้องไปพักผ่อน
พอปิดไฟ เย่เฉินก็นอนลงบนเตียงฝั่งตัวเองพลิกตัวไปมายากจะข่มตาหลับ
ตอนนี้ตนเองกำลังจะกลับไปยังเย่นจิงหลังจากผ่านมาสิบแปดปี ตอนนั้นยังไม่ถึงสิบขวบด้วยซ้ำ
เซียวชูหรันเองก็นอนไม่หลับ ตกดึกจู่ๆ ก็มุดจากผ้าห่มของตัวเองเข้าไปในผ้าห่มของเย่เฉิน จากนั้นก็กอดเขาไว้จากด้านหลังเบาๆ พูดข้างหูเขาด้วยความรักใคร่ว่า “ที่รัก พรุ่งนี้รีบไปรีบกลับ ฉันคิดถึงคุณ…”
เย่เฉินพยักหน้าเบาๆ ลูบคลึงมืออันนุ่มนิ่มของเธอ ทอดถอนใจอยู่ในใจหลายครั้ง
คืนนี้ เย่เฉินไม่ค่อยได้นอนเท่าไหร่นัก
โชคดีที่ร่างกายเขาเหนือกว่าคนธรรมดามานานแล้ว ต่อให้ไม่นอนทั้งคืน ก็ไม่มีอะไรบุบสลาย
เนื่องจากเครื่องบินออกสิบโมงเช้า จึงต้องไปให้ถึงสนามบินก่อนเก้าโมง ดังนั้นเย่เฉินจึงตื่นแต่เช้าตรู่
ตอนเขาลุกขึ้นจากเตียง เซียวชูหรันที่เมื่อคืนปั้นตุ๊กตาหิมะจนถึงเที่ยงคืนยังไม่ตื่น
เย่เฉินเองก็ไม่คิดจะรบกวนเธอเช่นกัน จึงทิ้งโน้ตไว้แผ่นหนึ่งบนหัวเตียง โดยเขียนไว้หนึ่งประโยคว่า “ที่รัก ผมเดินทางก่อนนะ เป็นเด็กดีรอผมกลับมาล่ะ”
จากนั้นเขาก็เปลี่ยนเสื้อผ้า นำกระเป๋าเงินและเอกสารสำคัญ ทั้งยังพกยาอายุวัฒนะสองสามเม็ดติดตัวไปด้วย แล้วจึงเดินออกจากห้องนอน
พอลงมาชั้นล่าง แม่ยายหม่าหลันที่ใส่ผ้ากันเปื้อนอยู่ ก็รีบเดินออกมาจากห้องครัวทันที ก่อนจะพูดอย่างสนิทสนมว่า “ตายแล้วลูกเขยคนดี ทำไมวันนี้ถึงตื่นเช้าขนาดนี้ล่ะ?”
เย่เฉินกล่าวว่า “วันนี้ผมต้องไปเย่นจิง อีกสองสามวันถึงจะกลับครับ”
หม่าหลันรีบพูดอย่างกระตือรือร้นว่า “ตายจริง ไปวันนี้เลยเหรอ? แม่ทำโจ๊กหมูไข่เยี่ยวม้าไว้ให้เธอแล้ว กินสักชามแล้วค่อยไปเถอะ!”
เย่เฉินโบกมือ “ไม่ล่ะครับ เครื่องออกค่อนข้างเช้า ผมต้องไปเร็วหน่อย”
หม่าหลันรีบพูดว่า “ตายจริง งั้นแม่ไปส่งเธอนะ!”
พูดจบ ก็วิ่งออกมาอย่างรีบร้อน เดินตามเย่เฉินมาจนถึงหน้าประตู
“ลูกเขยจ๊ะ เธอขับรถไปสนามบินใช่ไหม?”
เย่เฉินส่ายหน้า “เปล่าครับ ผมโบกรถไป”
หม่าหลันพูดโพล่งออกมาว่า “ทำไมไม่ให้พ่อเธอตาแก่นั่นขับรถไปส่งล่ะ เพราะอย่างไรเขาก็ว่างอยู่แล้วนี่”