ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - 1421
กู้เย้นเจิ้งกับกู้เย้นกาง พาคนหนีออกจากบ้านกู้เย้นจง
ในเวลานี้ สาวใช้รีบเข้ามาแล้วพูดว่า:”ท่านคะ บอดี้การ์ดในครอบครัวเรา ได้รับบาดเจ็บกันหมด ท่านคิดว่า……”
กู้เย้นจงปัดมือทันที และพูดว่า:”รีบโทร 120 แล้วส่งไปรักษาที่เซี๋ยเหอ ฉันจะจ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมด แล้วจ่ายค่ารักษาพยาบาลอีกคนละ200,000 ฉันจะสั่งให้เลขาของฉันไปที่นั่น”
คนรับใช้พยักหน้าทันที หยิบมือถือออกมาแล้วโทรหา120
ทุกคนต่างออกไปตรวจดูอาการบาดเจ็บของบอดี้การ์ด แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะดูน่าสังเวช แต่ก็ไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต
แต่ว่า คนเหล่านี้รู้สึกละอายใจมาก ถึงกับละอายไม่กล้าเงยหน้ามองกู้เย้นจง และด่าตัวเองอ่อนเกินไป ละอายใจกับความไว้วางใจของกู้เย้นจง
กู้เย้นจงก็ไม่สนใจเรื่องนี้เช่นกัน และปลอบโยนทีละคนว่า:”วันนี้เป็นมันอุบัติเหตุ อีกฝ่ายเตรียมพร้อมมา และที่มาก็เป็นยอดฝีมือทั้งนั้น พวกคุณสู่อีกฝ่ายไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้”
ขณะที่เขาพูด ก็พูดเตือนอีกว่า:”ตอนนี่พวกคุณอย่าเพิ่งคิดมาก ไปรักษาที่โรงพยาบาล ค่อยๆฟื้นตัว!”
ในไม่ช้า รถพยาบาลก็พาบอดี้การ์ดออกไป กู้เย้นจงก็สั่งให้เลขาของเขารีบไปที่โรงพยาบาลเพื่อจัดการเรื่องทั้งหมด
เมื่อทุกอย่างจัดการเรียบร้อยแล้ว ในที่สุดเขาก็โล่งใจได้
ครอบครัวสามคนกลับมาที่ร้านอาหารพร้อมกับเย่เฉิน เขาจับมือเย่เฉินไว้ และพูดสะอื้นว่า:”เฉินเอ๋อ วันนี้……ขอบคุณนายมากนะ!”
หลินหว่านชิวและกู้ชิวอี๋ที่อยู่ข้างๆก็พยักหน้าขอบคุณ
หลินหว่านชิวพูดว่า:”เฉินเอ๋อ ถ้าไม่ใช่เพราะนาย วันนี้ฉันและลุงกู้ของนาย ไม่รู้ว่าจะผ่านอุปสรรคนี้ได้ยังไงจริงๆ…… ”
กู้ชิวอี๋ก็ร้องพูดว่า:”พี่เย่เฉิน วันนี้ขอบคุณมากๆนะ…… ”
พูดไป เธอก็นึกถึงความไม่เป็นธรรมที่พ่อแม่ของเธอได้รับเมื่อกี้ เธอควบคุมอารมณ์ไม่ได้ทันที น้ำตาไหลไม่หยุด
เย่เฉินรีบปลอบว่า:”ลุงกู้ ป้าหลิน และหนานหนาน สำหรับผมแล้ว พวกคุณก็คือญาติของผม จะเกรงใจกับผมทำไมกัน……”
กู้เย้นจงพยักหน้า และถามอย่างตาแดงว่า:”เฉินเอ๋อ ทำไมนายถึงมีพลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้? แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาย แต่ก็แข็งแกร่งเกินไปแล้วนะ? ช่วงหลานปีที่ผ่านมา นายผ่านอะไรมาบ้างกันแน่? ทำไมถึงแข็งแกร่งแบบนี้?”
เย่เฉินพูดอย่างจริงจัง:”ลุงกู้ แม้ว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ผมจะลำบากมามาก แต่ก็ได้พบเจอโอกาสที่คนธรรมดาไม่สามารถพบเจอได้ ดังนั้นจึงมีความสามารถแบบนี้”
กู้เย้นจงจับมือของเขาและพูดอย่างจริงใจว่า:”เฉินเอ๋อ ถ้าลุงตายไป ป้าหลินกับหนานหนานพวกเธอทั้งสองคน คงต้องพึ่งนายแล้วล่ะ มิฉะนั้น ลุงตายแล้วก็คงไม่สบายใจ คงตายตาไม่หลับ……”
หลินหว่านชิวเช็ดน้ำตา และพูดอย่างดื้อรั้นว่า:”คุณ อย่าพูดคำที่น่าสลดใจแบบนี้สิ และไม่ต้องกังวลพวกเราสองแม่ลูก
แย่ที่สุดก็แค่หลังจากที่คุณตายไป พวกเราสองแม่ลูกจะบริจาคเงินทั้งหมด! ยังไงซะบ้านแม่ฉันยังพอมีความสามารถอยู่บ้าง และตอนนี้หนานหนานก็เป็นดาราดังแล้ว ไม่ต้องห่วงเรื่องชีวิตเราสองแม่ลูกหรอก บริจาคทรัพย์สินทั้งหมด จะไม่ยอมให้ทั้งคู่ได้เงินแม้แต่บาทเดียว!”
กู้เย้นจงถอนหายใจและพยักหน้าเบาๆ:”หลังจากที่ฉันตายไป ทุกอย่างพวกเธอก็ตัดสินใจเอง ฉันไม่มีความปรารถนาอื่น แค่หวังว่าพวกเธอจะแข็งแรง และมีชีวิตที่สงบสุข!”
กู้ชิวอี๋ร้องพูดว่า:”พ่อคะ อย่าพูดอย่างนั้นสิ พ่อเตรียมจะเข้าโรงพยาบาลและให้ความร่วมมือในการรักษาอย่างจริงจังแล้วไม่ใช่เหรอ? บางทีอาจจะมีปาฏิหาริย์นะคะ! อย่าเพิ่งตัดสินเร็วขนาดนี้!”
กู้เย้นจงหัวเราะเศร้าๆ:”ลูกรัก พ่อก็อยู่มาครึ่งค่อนชีวิตแล้ว ความยากลำบากอะไรก็ผ่านมาหมดแล้ว มีหลายๆเรื่องสามารถเปิดใจยอมรับได้และมองทะลุปรุโปร่ง โรคของพ่อนั้น ไปไหนก็ไม่สามารถรักษาได้หรอก ยอมรับการรักษาอย่างจริงจัง ก็เป็นแค่คำถาม ว่าจะไปในช่วงครึ่งปีแรกหรือครึ่งปีหลัง”
ตอนนี้เป็นเดือนสิบสองตามปฏิทินจันทรคติ และเป็นเดือนแรกวันปีใหม่ในปฏิทินสากล ดังนั้น กู้เย้นจงรู้สึกว่า เขาจะไม่สามารถมีชีวิตผ่านปีนี้ได้
เมื่อคำพูดเหล่านี้ออกมา หลินหว่านชิวและกู้ชิวอี๋ร้องไห้กอดกัน ทั้งคู่ต่างก็เป็นสาวงาม ร้องไห้ยังงดงาม มันช่างน่าสงสารจริงๆ
โดยเฉพาะกู้ชิวอี๋ เย่เฉินไม่ค่อยรู้จักเธอมากนัก แต่ก็รู้สึกได้ว่า นิสัยของเธอนั้นหยิ่งยโสและหัวดื้อมาก แต่ตอนนี้เธอร้องจนเป็นสภาพแบบนี้ ยังมีออร่าแบบไม่กลัวอะไรเลยสักนิดอีกเหรอ?เธอเป็นเหมือนเด็กสาวข้างบ้านที่ทำให้คนรู้สึกปวดใจ