ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - 1455
“นายเป็นใครงั้นเหรอ!?”
แม้ว่ากู้เย้นเจิ้งจะอายเล็กน้อยเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของเย่เฉิน เมื่อเขาได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของเขาก็ยังเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
เขามองไปที่เย่เฉินและถากถาง “ฉันเคยบอกแล้วว่า ฉันรู้ประวัติของนายแล้ว ก็แค่เขยสวะของตระกูลเซียวแห่งจินหลิงไม่ใช่เหรอ? มันเป็นตระกูลเย่ที่ยากจนในเมืองเล็กๆ กล้าที่จะมาอวดเก่งกับฉัน ?”
“ใช่!”
กู้เย้นกางพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาทันทีว่า “นายควรนึกดีๆนะ นำคนในจินหลิงของนายรวมกับบวกตระกูลอื่นยังสู้ตระกูลกู้ของเราไม่ได้สักครึ่งเลย!”
คำพูดของกู้เย้นกางค่อนข้างหยิ่งและเกินจริง แต่โดยพื้นฐานแล้วไม่มีอะไรผิดปกติกับคำพูดของเขา
เมื่อเทียบกับเย่นจิงและจินหลิงก็ไม่ใช่เมืองใหญ่อะไร
นอกจากนี้ ตระกูลซ่งซึ่งเป็นตระกูลแรกในจินหลิงที่มีทรัพย์สินมากกว่าหนึ่งแสนล้านหยวน เมื่อเทียบกับตระกูลกู้ยังห่างกันมาก
ดังนั้น กู้เย้นกางจึงมีความมั่นใจที่จะพูดคำที่เย่อหยิ่งเช่นนี้
ในเวลานี้ เย่เฉินยิ้มอย่างเฉยเมยและถาม “พวกคุณไม่คิดดูดีๆนะ ฉันจะได้พบกับลุงกู้ได้อย่างไรถ้าฉันเป็นเพียงลูกเขยของตระกูลที่ยากจนในเมืองเล็ก ๆ ?”
กู้เย้นจงพยักหน้า พลางยิ้มและมองไปที่น้องชายสองคนและหลานชายสองคนโดยไม่พูดอะไร
กู้เย้นเจิ้งส่งเสียง ฮึ อย่างเย็นชา”นายคิดว่าฉันไม่รู้ว่านายทำอะไร? ก็แค่คนโกหกที่ดูฮวงจุ้ย?”
ขณะที่พูด กู้เย้นเจิ้งสีหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “ฉันรู้ นายหลอกพวกที่ไม่เคยลืมตาโลกในจินหลิงไปหลายคน แต่นายต้องรู้ว่านี่คือเย่นจิงไม่ใช่จินหลิง! ที่นี่เป็นที่ที่ซ่อนความสามารถที่โดดเด่น นายได้รับการยินยอมจากจินหลิงก็เลยคิดว่าจะได้รับการยินยอมจากเย่นจิง? ที่นี่มีคนมากมายเหลือล้นและมีคนที่โดดเด่น เกรงว่าหมอดูแก่ๆคนนึงที่มาจากประตูเมืองสี่เก้าเขาเก่งกว่าคุณ!”
เย่เฉินพยักหน้าและถอนหายใจ “เห้อ สิ่งที่คุณพูดทำให้ฉันเกิดแรงบันดาลใจ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณนั่งพูดถึงความแตกต่างระหว่างจินหลิงและเย่นจิง ฉันเกือบลืมไปแล้ว ฉันไม่ได้เป็นคนของจินหลิงที่จริงฉันเป็นคนของเย่นจิง!”
“อะไรนะ?” กู้เย้นเจิ้งขมวดคิ้ว “นายคือคนเย่นจิงเหรอ?”
“ใช่” เย่เฉินยิ้มและพยักหน้า ตบหน้าอกของเขาแล้วพูดว่า “ฉันเป็นคนเย่นจิงแท้ๆเลยตอนอายุแปดขวบฉันจากเย่นจิงไปจินหลิง”
เมื่อกู้เย้นเจิ้งได้ยินเรื่องนี้ เขาก็พูดประชดประชันทันที “เป็นไปได้ไหมที่นายไม่มีรากฐานในเย่นจิงก่อนอายุแปดขวบ? ออกจากเย่นจิงเมื่ออายุแปดขวบ นายเพิ่งจะกลับมาหลังจากที่จากไปเป็นเวลานาน และยังกล้าที่จะทำนิสัยเสียๆใส่ฉัน?”
กู้เย้นจงยิ้มและถามเขา “น้องรอง นายมองไม่ออกเหรอว่าเฉินเอ๋อหน้าคุ้นขนาดนี้? นายไม่คิดว่าเขาดูเหมือนใครเหรอ?
กู้เย้นเจิ้งเหล่ตามองเย่เฉินอย่างระมัดระวังพลางพูดว่า “เด็กคนนี้ดูพิเศษเหรอ? เขาเป็นแค่คนพื้นๆธรรมดาๆ ยังไม่หล่อเท่าตอนที่ฉันยังเด็ก”
กู้เย้นจงหัวเราะออกมา “น้องรอง ไม่คิดว่านายจะอยู่ภายใต้การดูแลของฉันใช้ชีวิตมั่งคั่งร่ำรวยมาหลายปี นายจะกลายเป็นคนถดถอยมากขึ้นเรื่อยๆ เสียเวลาชีวิตไปสี่สิบปีจริงๆ!”
กู้เย้นเจิ้งตกใจและถามโดยไม่รู้ตัว “หมายความว่าอย่างไร? คุณไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรกับฉันอยากพูดอะไรก็ได้ที่คุณต้องการพูดเลย!”
กู้เย้นจงพยักหน้า “ได้! ถ้าอย่างนั้นฉันจะพูดตรงๆ!”
พูดจบกู้เย้นจงลุกขึ้นยืนและพูดด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง “นายจำได้ไหมว่าฉันมีพี่น้องร่วมสาบาน ตระกูลกู้สามารถมีวันนี้ได้ต้องขอบคุณการเลื่อนตำแหน่งตลอดทางมากกว่าสิบหรือยี่สิบเมื่อหลายปีก่อน! แม้ตอนที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ก็ให้เขาเป็นแขกผู้มีเกียรติและเคารพเขามาก นายในตอนนั้นก็เป็นลูกผู้ดีมีเงินแล้ว คุณท่านไม่ยอมให้นายและฉันติดต่อกะบพี่น้องร่วมสาบานของฉันเพราะกลัวว่านายจะทำนามสกุลของตระกูลกู้พัง นามสกุลพี่น้องร่วมสาบานของฉันคืออะไร?
กู้เย้นเจิ้งลืมพ่อของเย่เฉินมาหลายปีแล้ว ท้ายที่สุดผู้ตายได้ล่วงลับไปแล้วและญาติจำนวนมากอาจจำผู้ตายไม่ได้มานานกว่าสิบปี ยิ่งไปกว่านั้นกู้เย้นเจิ้งและพ่อของเย่เฉินไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน
ในตอนนั้น กู้เย้นเจิ้งเพียงแค่ดูพี่ใหญ่ของเขาบูชาดวงดาวที่เจิดจ้าที่สุดของตระกูลเย่ และเขานั้นอิจฉา แต่หลังจากที่พ่อของเย่เฉินเสียชีวิตเขาก็ค่อยๆลืมเรื่องนี้ไป
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้พี่ใหญ่เรียกชื่อตรงๆแบบนี้เขานึกถึงร่างเงาที่หล่อเหลาสง่าและดูมีออร่าในทันที